B ชูลงทุนสาธารณูปโภค S-CURVE โฟกัสขายน้ำดิบ-พลังงานทดแทน

HoonSmart.com>>ปัญญา บุญญาภิวัฒน์” ซีอีโอ บีจิสติกส์ ชูธุรกิจสาธารณูปโภคเป็น S-curve ของกลุ่ม B โฟกัสธุรกิจจำหน่ายน้ำดิบ-พลังงานทดแทน  ส่งซิกงวดสิ้นปี 2564 “เทพฤทธา”  บริษัทร่วมทุนผลงานแจ่ม เตรียมดันเข้าตลาดหุ้น ขณะที่กลุ่มพลังงานทดแทน เริ่มทยอยรับรู้รายได้ 

ปัญญา บุญญาภิวัฒน์

นายปัญญา บุญญาภิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท บี จิสติกส์ (B)  เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนเพิ่มทุนแบบมีวัตถุประสงค์ชัดเจน ที่ต้องการใช้เงินเพิ่มทุนสัดส่วน 30% โดยมีกลยุทธ์ ลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Utilities) ถือเป็นเทรนด์การลงทุนทั่วโลก และกลุ่มสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เป็น S-curve สนับสนุนให้กลุ่ม B มีการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต

“ปี 2565 ถือเป็นปีแห่งความท้าทายขอบกลุ่ม B เป็นปีแห่งการปรับโครงสร้างธุรกิจ เป็นปีแห่งการลงทุน เพราะนอกเหนือจากธุรกิจหลักที่เราโฟกัส กรีน โลจิสติกส์ ในแง่มุมการขนส่งที่รักษาสิ่งแวดล้อม การลงทุนธุรกิจในธุรกิจสาธารณูปโภคก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่จะทำให้ B เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน”

เพื่อให้การปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท มีความคล่องตัวและประสบผลสำเร็จจำเป็นต้องเตรียมแหล่งเงินทุนเพื่อรองรับแผนการลงทุนในอนาคต และหากวิเคราะห์จากธุรกิจที่บริษัทได้ลงทุนไปแล้ว ทั้งธุรกิจผู้จำหน่ายน้ำดิบและพลังงานทดแทน ก็เริ่มมีกำไรสุทธิเกิดขึ้น

สำหรับบริษัท เทพฤทธา จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจจำหน่ายน้ำดิบ และเป็นบริษัทร่วมทุนที่ B ถือหุ้น 51% ผลประกอบการงวดสิ้นปี 2564 มีกำไรสุทธิเกิดขึ้น และบริษัทได้ทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/2564

ขณะที่ความต้องการใช้น้ำ มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด ทำให้บริษัทเห็นโอกาสการขยายกิจการ จึงมีแผนนำหุ้นบริษัทดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเตรียมความพร้อมแหล่งเงินทุนในอนาคต

ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทน ปัจจุบันบริษัทมีรายได้ในเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้ว 2 โครงการคือ โครงการโซลาร์ฟาร์ม SSG ภายใต้บริษัทย่อยสยาม โซลาร์ ที่อยู่ในชัยภูมิ กำลังการผลิต 27 เมกะวัตต์ โดยได้ COD ไปแล้วตั้งแต่ปี 56 และโครงการโซลาร์ฟาร์ม ในประเทศเวียดนาม ที่บริษัทเข้าไปร่วมลงทุน กำลังการผลิต 29 เมกะวัตต์ ซึ่งได้ COD ไปแล้วเมื่อปี 63 ที่ผ่านมา โดยที่ทั้ง 2 โครงการถือว่าเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้เสริมเข้ามาให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง

ผลการดำเนินงานของบริษัทยังมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง โดยไตรมาส 3 ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 10.950 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ในปี 2563 ที่ขาดทุน 15.034 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้น 25.984 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 173% ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานและกำไรจากการลงทุนที่บริษัทไปลงทุน