‘ทรีนีตี้’ แนะล็อกกำไรหุ้นบางส่วน หลังเฟดจ่อขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด

HoonSmart.com>> บล.ทรีนีตี้ แนะนักลงทุนปรับกลยุทธ์หลังเฟดส่งซิกเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ฉุดตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงแรง แนะขายล็อกกำไรบางส่วน สวนที่เหลือรอลุ้นมองโอกาส Outperform ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เหตุตลาดหุ้นไทยมีหุ้นอ่อนไหวต่อบอนด์ยีลด์ปรับขึ้นน้อยกว่า

บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ แนะนำนักลงทุนปรับกลุยทธ์หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจลดขนาดงบดุลเร็วกว่ากำหนดและเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงในระดับหนึ่ง แนะนำนักลงทุน Lock กำไรหุ้นไว้ก่อนส่วนหนึ่ง หลังดัชนีปรับตัวขึ้นขึ้นมาถึงเป้าหมายฐานแรกที่ประเมินไว้ระดับ 1,660-1,680 จุด

ส่วนหุ้นอีกครึ่งหนึ่งอาจถือครองเพื่อลุ้นการไปต่อของดัชนี เนื่องจากมีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้จะปรับตัว Outperform ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ จากการที่ Character ของหุ้นในตลาดเป็นหุ้นในกลุ่ม Value Stock ส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร( Bond yield) น้อยกว่า เช่น กลุ่มพลังงาน ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

บล.ทรีนีตี้ มองว่า รายงานการประชุมของเฟดเดือนธ.ค. ที่เผยแพร่เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยใหญ่ที่สุดจากการถกเถียงกันในคณะกรรมการเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการลดขนาด Balance sheet ของเฟดเร็วกว่ากำหนดและเร็วกว่า Cycle ก่อนหน้านี้ที่เฟดมีการ Reinvest ในส่วนของตราสารที่ครบกำหนดอายุต่อไปเรื่อยๆ หลังจากการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกไปแล้วเป็นเวลานานเกือบ 2 ปี

นอกจากนั้นกรรมการบางส่วนยังมีการพูดถึงอัตราเร่งของการลดขนาดงบดุลในรอบนี้ว่าอาจจะเร็วกว่ารอบก่อนที่เริ่มต้นเดือนละ 1 หมื่นล้านเหรียญฯ ด้วยเช่นกัน เนื่องจากบริบทที่แตกต่างกันออกไปหลังความเสี่ยงเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง จากปัญหา Supply chain disruption ที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้งจากการแพร่ระบาดของโอมิครอน

บล.ทรีนีตี้ มองรายงานการประชุมเฟดป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ในตลาดและไม่ได้อยู่ในสมมติฐานการลงทุน ซึ่งเดิมเชื่อว่าในปีนี้เฟดจะมีแต่เพียงการเข้มงวดนโยบายการเงินผ่านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น หากการลดขนาด Balance sheet เกิดขึ้นจริงในปีนี้

ผลกระทบสำคัญ คือ จะทำให้สภาพคล่องทั่วโลกลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และอาจเป็นการบ่งชี้ว่าการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้อาจมีความ Aggressive กว่าสิ่งที่ตลาดคาดไว้ ณ ตอนนี้ ทั้งในส่วนของระยะเวลาในการขึ้นครั้งแรก (ตลาดมองแถวเดือนพ.ค.) และในส่วนของจำนวนครั้งทั้งหมดในปีนี้ (ตลาดมอง 3 ครั้ง) ส่งผลให้ Bond yield จะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งรุ่นสั้น (ผ่านแนวโน้ม Fed Funds rate) และรุ่นยาว (ผ่านการขายพันธบัตรของ Fed) เป็นภาพที่ไม่ไดีเท่าไหรสำหรับตลาดหุ้น เนื่องจากถูกกระทบจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและความน่าสนใจที่ลดลงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น (Yield gap)