WFX ตั้งเป้ารายได้’65 โต 10-15%กำลังการผลิตเพิ่ม-ออเดอร์แน่น-รุกตลาดใหม่

HoonSmart.com>> “เวิลด์เฟล็กซ์” เปิดซื้อขายวันแรกแจกกำไรเฉียด 30% ปักธงหุ้น Growth Stock-Dividend Stock สร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุน  ปี 65 คาดรายได้โต 10-15%  กำลังการผลิตใหม่เข้ามากลางปี  ยอดคำสั่งซื้อเต็มต่อเนื่อง จ่อขยายตลาดใหม่ ที่มีมาร์จิ้นสูง ดันส่วนแบ่งการตลาดเพิ่ม คาด 3 ปีข้างหน้าขึ้นแท่นเบอร์ 1 ผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืด 

นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ฝ่ายวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของบริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX) เปิดเผยว่า การเข้าซื้อขายวันแรกของ WFX ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)วันแรก (23 ธ.ค.64) ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯที่มีความแข็งแกร่ง โดยราคาเปิดการซื้อขายวันแรกที่ 9.35 บาท เพิ่มขึ้น 2.15 บาท หรือ 29.86% จากราคาเสนอขาย IPO ที่ 7.20 บาท  ขึ้นไปสูงสุดแตะ 9.70 บาท ก่อนปิดที่ 8.45 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาทหรือ +17.36% มูลค่าการซื้อขาย 2,731  ล้านบาท

“เชื่อว่า WFX จะเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนในอนาคต เนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตสูง มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Growth Stock และ Dividend Stock ที่มีอัตราการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ จากความสามารถทำกำไรที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด และด้วยเงินระดมทุ ที่ใช้ขยายโรงงาน รองรับคำสั่งซื้อสินค้าของลูกค้าที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้และกำไรในอนาคต ให้ธุรกิจเติบโตแข็งแกร่งและยั่งยืน” นายรัฐชัย กล่าว

นายชวลิต ติยาเดชาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX) ผู้นำในการผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดรายใหญ่ในโลก รายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2565 เติบโตที่ระดับ 10-15% สอดคล้องกับกำลังการผลิตของเฟสแรกที่เพิ่มขึ้นมาในปีหน้าอีก 6,200 ตันต่อปี ตามแผนการใช้เงินระดมทุนเพิ่มกำลังการผลิต 12,400 ตันปี ส่วนเฟสสองคาดเริ่มผลิตปี 2566 จากปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่ที่ 35,000 ตันต่อปี โดยยอดคำสั่งซื้อล่วงหน้า ณ ปัจจุบัน คาดว่าจะอยู่ในระดับที่เต็มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ในอนาคต 3 ปีข้างหน้า (2565-2567) บริษัทตั้งเป้าหมายขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดระดับโลก โดยบริษัทมีแผนเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด จากปัจจุบันมูลค่าการใช้ผลิตภัณฑ์ยางยืดอยู่ประมาณ 200,000 ตัน ซึ่งบริษัทมียอดขายเท่ากำลังการผลิตประมาณ 35,000 ตัน และคู่แข่งรายใหญ่อยู่ที่ 70,000 ตัน โดยบริษัทมีกลยุทธ์ที่จะขยายตลาดใหม่ๆ ในพื้นที่ที่มีอัตรากำไรสูง ที่นอกเหนือจากประเทศจีน ซึ่งกลุ่มลูกค้าจีนคิดเป็น 75% ของรายได้รวม

ขณะเดียวกันบริษัทคาดว่าจะยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ให้อยู่ใกล้เคียงระดับปัจจุบันที่ 15% โดยจากการขยายตลาดใหม่ๆข้างต้น และนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาเสริมประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิ ถึงแม้ว่าราคาวัตถุดิบจะผันผวนสูง ด้วยกลยุทธ์การคำนวณต้นทุนบวกมาร์จิ้น ทำให้รักษาระดับความเสี่ยงได้ นอกจากนี้จากการที่บริษัทเป็นผู้ส่งออก ที่มีสัดส่วนส่งออกถึง 98% ของยอดขาย บริษัทได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 100%

ส่วนแผนการเงินระดมทุน 1. สัดส่วนประมาณ 35% หรือ 350 ล้านบาทใช้ขยายกำลังการผลิตข้างต้น 2.สัดส่วน 40% ใช้คืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน คาดว่าทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนลดลงอยู่ที่ 0.35 เท่า จากเดิม 1.12 เท่า ทำให้บริษัทมีโอกาสขยายการลงทุนในธุรกิจอื่นๆเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทไม่ปิดโอกาส หากธุรกิจนั้นมีความเหมาะสมและสร้างการเติบโต ปัจจุบันมีศึกษาอยู่ ส่วนเงินที่เหลืออีก 25% หรือ 250 ล้านบาท ใช้เป็นเงินหมุนเวียนในกิจการ

“เรามั่นใจว่าแนวโน้มธุรกิจของเราในปีนี้และปี 2565 มีการเติบโตขึ้นต่อเนื่อง และด้วยจุดแข็งจากความเข้าใจลูกค้าและเข้าใจสินค้า ตลอดจนมีสินค้าที่ขนส่งให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผลิตภัณฑ์เรา เป็นสินค้าที่นำไปใช้สินค้าอื่นๆต่อ เราจึงต้องเพิ่มกำลังการผลิตรองรับความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยเราหวังว่าในอนาคต ทั่วโลกจะใช้ผลิตภัณฑ์บางยืดของเรา ซึ่งราคาหุ้นในวันนี้ที่เปิดซื้อขายวันแรกบวก 29.86% สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท” นายชวลิต กล่าว