HoonSmart.com>> “บริทาเนีย” กำหนดช่วงราคาเสนอขาย IPO จำนวน 252.65 ล้านหุ้น เบื้องต้นราคา 10.00–10.50 บาทต่อหุ้น เคาะราคาสุดท้าย 3 ธ.ค.นี้ เปิดจองซื้อวันที่ 7–9 ธ.ค.สำหรับผู้ถือหุ้น ORI ที่มีสิทธิจองซื้อ ส่วนวันที่ 13 – 15 ธ.ค.นี้ สำหรับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน วางยุทธศาสตร์ขยายที่อยู่อาศัยแนวราบสู่ภูมิภาค โชว์กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปีนี้เติบโต 55.92%
นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นบริษัท บริทาเนีย (BRI) ในกลุ่มบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) กล่าวว่า หุ้น BRI กำหนดช่วงราคาเสนอขาย IPO เบื้องต้นที่หุ้นละ 10.00 – 10.50 บาท และคาดว่าบริษัทฯ จะประกาศราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) ได้ในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ (ภายในเวลา 17.00 น.) ผ่านเว็บไซต์ของบริษัทฯ (www.britania.co.th) และบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) จะแจ้งข่าวดังกล่าวทางเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) โดยคาดว่าจะนำหุ้น BRI เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงปลายเดือนธ.ค.2564
BRI จะเปิดให้ผู้ถือหุ้นของ ORI ที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BRI (Pre-emptive Rights) จองซื้อในวันที่ 7 – 9 ธ.ค.นี้ ได้ 3 วิธี ได้แก่ 1) จองซื้อผ่านระบบ Electronic Rights Offering (“E-RO”) บนเว็บไซต์ www.yuanta.co.th 2) ยื่นใบจองซื้อ ณ สำนักงานใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนรับจองซื้อหุ้นในส่วน Pre-emptive Rights และ (3) การจองซื้อผ่านทางโทรศัพท์บันทึกเทป (สำหรับผู้ที่มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เท่านั้น) โดยสามารถจองซื้อเกินกว่าสิทธิ (ไม่กำหนดอัตราสูงสุดการจองซื้อเกินกว่าสิทธิ) อย่างไรก็ตามผู้ถือหุ้น ORI จะได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จองซื้อเกินกว่าสิทธิ ต่อเมื่อมีหุ้นที่เหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้น ORI ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นที่จองซื้อตามสิทธิครบถ้วนแล้วเท่านั้น โดยหลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเกินกว่าสิทธิให้เป็นไปตามที่ระบุในแบบไฟลิ่งและหนังสือชี้ชวน
ส่วนนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ จองซื้อได้ในวันที่ 13 – 15 ธ.ค.นี้ โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ประกอบด้วย บล.กสิกรไทยและบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) รวมถึงผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 ราย ได้แก่ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ,บล.ทรีนีตี้, บล.ฟินันเซีย ไซรัส,และบล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)
ทั้งนี้ BRI ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบชั้นนำที่มีศักยภาพการเติบโตสูง สะท้อนจากผลการดำเนินงานในอดีตที่ผ่านมา และมีแผนพัฒนาโครงการในอนาคตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย BRI จะนำเงินจากการะดมทุนไปใช้พัฒนาโครงการ ชำระเงินกู้ยืมและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า BRI เป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีโครงการที่พัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 1 โครงการในปี 2560 เป็น 21 โครงการในปี 2564 และใช้ระยะเวลาในการขายต่อโครงการเฉลี่ย 1 ปีครึ่ง ถึง 2 ปี สำหรับโครงการที่สามารถปิดโครงการได้แล้ว นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีจุดเด่นด้านความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการต้นทุนพัฒนาโครงการที่มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ หลังจากที่ BRI ยื่นแบบคำขอเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์(ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 252.65 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 29.6% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ ปัจจุบันได้รับอนุมัติแบบคำขอเสนอขายหลักทรัพย์และไฟลิ่งมีผลใช้บังคับแล้ว
นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย (BRI) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีวิชั่นเป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ ที่มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการอยู่อาศัยและยกระดับการใช้ชีวิต โดยวางแผนยุทธศาสตร์ขยายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบไปยังจังหวัดที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น เน้นทำเลที่อยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมซึ่งเป็นแหล่งงานที่สำคัญ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หรือเป็นพื้นที่ที่มีอัตราเติบโตของประชากรสูงและมีการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งสาธารณะเพื่อรองรับการเดินทางของประชากรในพื้นที่ดังกล่าว
บริษัทฯ วางแผนพัฒนาโครงการใหม่ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง เช่น สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยองพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น โดยในปี 2565 วางแผนพัฒนาโครงการใหม่ในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพต่างๆ เช่น จังหวัดอุดรธานี เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยมีการพัฒนาโครงการที่หลากหลาย ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งมีรูปแบบโครงการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Unique Design) ได้แก่ 1) แบรนด์ “ไบรตัน” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ในพื้นที่ปริมณฑล และต่างจังหวัดจับกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน (First Jobber)
2) แบรนด์ “บริทาเนีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม จับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว พนักงานบริษัทและเจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก 3) แบรนด์ “แกรนด์ บริทาเนีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับพรีเมียม จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นพนักงานระดับผู้บริหาร เจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดใหญ่ และ 4) แบรนด์ “เบลกราเวีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูง เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่และคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็ว
ณ วันที่ 30 ก.ย.2564 บริษัทฯ มีโครงการที่ปิดการขายแล้ว 2 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 2,028 ล้านบาท มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 13 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 17,550 ล้านบาท มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 6 โครงการ ที่จะเปิดขายในช่วงไตรมาส 4/2564 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 4,300 ล้านบาท และวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด 9 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 10,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเปิดตัวในปี 2565 เช่น โครงการบริทาเนีย ราชพฤกษ์ – นครอินทร์ มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย อุดร-ดุษฎี มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย ระยอง มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท เป็นต้น
“เราให้ความสำคัญกับการสร้างความแตกต่างด้านบริการ โดยมีนโยบายให้บริการหลังการขายตลอดช่วงอายุของการพักอาศัย (Long-Life Living After Sale Service) มุ่งให้บริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยเสมือนมีผู้ดูแลส่วนตัว โดยนำเทคโนโลยี Mobile Application เข้ามาให้บริการ สามารถนัดหมายจองคิวการใช้บริการล่วงหน้า เช่น แม่บ้าน ช่างเทคนิค คนสวน เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้านมีเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ เพิ่มขึ้น” นางศุภลักษณ์ กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2564 มีรายได้รวม 2,808.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 452.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเปิดโครงการใหม่และโครงการในปัจจุบันที่มียอดขายดี รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร