HoonSmart.com>>BYD หุ้นแห่งอนาคต เคาะสนั่นดันปิดนิวไฮ 11 บาท ซื้อขายหนาแน่น เก็งกำไรผลดำเนินงานเทิร์นอะราวด์
หุ้นหลักทรัพย์ บียอนด์ หรือ BYD หุ้นแห่งอนาคต ปลุกเก็งกำไรคึกคัก ราคาแรลลี่ปิดนิวไฮของวัน 11 บาท เพิ่มขึ้น 1.10 บาท หรือ 11.11% ถือเป็นราคานิวไฮหลังรวบพาร์จาก 1 บาท เป็น 5 บาท ซื้อขายหนาแน่นกว่า 321 ล้านบาท
หากดูราคาและปริมาณซื้อขายย้อนหลังในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา พบว่า เป็นหุ้นที่มีการซื้อขายต่อเนื่อง จากราคา 8.25 บาท (1 ต.ค. 64) ถึงล่าสุด 11 บาท (18 พ.ย.) ราคาปรับตัวขึ้นเพียง 2.75 บาท หรือ 33.33 %
นักลงทุนรายใหญ่ ที่เข้าไปเก็งกำไร มองว่า หุ้น BYD ราคาพักตัวนาน หลังรวมพาร์ ประกอบกับผลดำเนินงานที่ออกมา แม้ว่ายังมีขาดทุน แต่มีแนวโน้มฟื้นตัว และเทิร์นอะราวด์ จากปรับโครงสร้างทุนและโครงสร้างธุรกิจ ในการลงทุนบริษัท ไทยสไมล์บัส ที่เข้าซื้อกิจการสัมปทานรถร่วมบริการ 9 บริษัท เริ่มทยอยเปิดให้บริการรถบัสไฟฟ้าแล้วบางเส้นทาง
ด้านน.ส.ออมสิน ศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บียอนด์ กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ขาดทุนลดลง และคาดว่า ตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นไป เริ่มเห็นรายได้ธุรกิจเดินรถบัสสาธารณะที่บริษัท เข้าลงทุน และจะเห็นรายได้เต็มที่ตั้งแต่ปี 2565
“่บริษัท ฯ ปักธงการเทิร์นอะราวด์ ให้ได้ภายใน 1 ปี หรือตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งจะมาจากรายได้ธุรกิจ BUS ที่เข้าลงทุน ตามแผนรถบัส EV จะรับมอบภายในสิ้นปีนี้รวม 117 คัน และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2565 พร้อมธุรกิจใหม่ ๆ ที่บริษัทเห็นศักยภาพ ขณะที่ธุรกิจหลักทรัพย์ ก็กำลังบุก BYD ขณะนี้ อยู่ในโหมดการบุกทุกทาง เพื่อการเทิร์นอะราวด์ ” ผู้บริหาร กล่าว
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือน ปี 2564 สิ้นสุด 30 ก.ย. BYD มีรายได้รวมอยู่ที่ 82.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.31 ล้านบาท คิดเป็น 268.52% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
โดยแบ่งเป็นรายได้จากค่านายหน้า 29.26 ล้านบาท ลดลง 0.91 ล้านบาท รายได้จากผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงิน 18.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.43 ล้านบาท และยังคงมีกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม/ย่อย 27.87 ล้านบาท
โดยบริษัทฯ ได้มีการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจเชิงรุก มุ่งขยายฐานลูกค้า จับกลุ่มตลาด Blocktrade และตราสารอนุพันธ์ เพื่อรักษารายได้จากค่านายหน้า เนื่องจากตลาดบล็อคเทรด ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายและบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายรวมลดลงจาก 267.25 ล้านบาท เป็น 250.38 ล้านบาท ลดลงเท่ากับ 16.87 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.31% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิเพียง 49.05 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 244.40 ล้านบาท