WFX ขาย IPO 142 ล้านหุ้นต้นธ.ค. สถาบันต่อคิวรอซื้อ

HoonSmart.com>> “เวิลด์เฟล็กซ์” ผู้นำผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดเจ้าแรกของประเทศไทย เตรียมขายหุ้นไอพีโอจำนวน 142 ล้านหุ้น  แบ่งประชาชน 116.44 ล้านบาท จัดสรรให้สถาบัน 30-40% คาดเปิดจองซื้อหุ้นต้นเดือน ธ.ค. พร้อมเข้าเทรด SETกลางเดือน ธ.ค.นี้ นำเงินขยายกำลังการผลิตอีก 1.24 หมื่นตันต่อปี คืนเงินกู้ คาด D/E ต่ำกว่า 1 เท่า จ่อขยายฐานลูกค้าใหม่ในบังคลาเทศ-ปากีสถาน เพิ่มตัวแทนขายใน บราซิล-ละตินอเมริกา

นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ฝ่ายวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX) เปิดเผยว่า WFX คาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 142 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 30.59% ของหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด โดยคาดว่าจะเปิดจองซื้อในช่วงต้นเดือน ธ.ค.นี้ และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรักย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงกลางเดือน ธ.ค.2564

ทั้งนี้ WFX กำหนดจัดสรรหุ้นเป็น  3 ส่วน ประกอบด้วย 1.เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป  (TRUBB) จำนวนไม่เกิน 11.36 ล้านหุ้น 2.เสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 14.2 ล้านหุ้น และ 3. ขายประชาชนทั่วไป(IPO) 116.44 ล้านหุ้น โดยจะจัดสรรให้กับนักลงทุนสถาบัน ประมาณ 30-40% ของจำนวนหุ้น IPO

“นักลงทุนสถาบันในประเทศให้ความสนใจเข้ามาค่อนข้างมาก เราจึงจัดสรรให้อย่างเหมาะสม ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี  ไม่ใช่แค่นักลงทุนสถาบัน เนื่องจาก WFX มีจุดเด่นจากการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดเจ้าแรกของประเทศไทยและรายใหญ่ระดับภูมิภาค สะท้อนจากปริมาณการขาย รายได้ และกำไรสุทธิ ที่มีการเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับการนำเงินระดมทุนไปขยายกำลังการผลิต จะช่วยรองรับคำสั่งซื้อของลูกค้าที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก รวมถึงโอกาสในการขยายตลาดใหม่ๆในอนาคต เราหวังว่าหุ้น WFX จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีของนักลงทุน” นายรัฐชัย กล่าว

ด้านนายณัฐ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX) กล่าวถึงวัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ว่า บริษัทจะนำเงินประมาณ 740 ล้านบาทไปลงทุนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 12,400 ตันต่อปี แบ่งเป็นสองเฟส ๆละ ประมาณ 6,200 ตัน โดยเฟสที่ 1 คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือน ก.ค. 2565 ส่วนเฟสที่ 2   คาดในเดือน ม.ค. 2566 จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมที่ 35,000 ตันต่อปี

ขณะที่เงินระดมทุนส่วนที่เหลือ เป็นเงินทุนหมุนเวียน และการคืนหนี้สถาบันการเงินบางส่วน คาดว่าอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) จะเหลือต่ำกว่า 1 เท่า จากปัจจุบันที่ 1.26 เท่า ทำให้เห็นโอกาสการเติบโตของฐานรายได้ และเพิ่มขีดความสามารถสำหรับการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในอนาคต โดยมีแผนจะขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น ในประเทศบังคลาเทศและปากีสถาน ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสามารถจะเติบโตได้อีกมาก จากปัจจุบันที่บริษัทฯมีทีมขายที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ สามารถสื่อสารลูกค้าได้มากกว่า 10 ภาษา ให้บริการและเข้าถึงลูกค้ากว่า 50 ประเทศทั่วโลก มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกถึง 98%

ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนจะขยายตัวแทนจำหน่ายไปยังประเทศบราซิล และละตินอเมริกา โดยอยู่ระหว่างการหาตัวแทนจำหน่าย  2 ราย จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 20 ราย แบ่งประเทศจีน 6 ราย , ตุรกี 2 ราย , เวียดนาม 2 ราย , อินโดนีเซีย 1 ราย , อิหร่าน 1 ราย , บังคลาเทศ 2-3 ราย และปากีสถานอีก 2 ราย

“การเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ในครั้งนี้  เพื่อรองรับแนวโน้มความต้องการที่สูงขึ้น ซึ่งเราได้เพิ่มกำลังการผลิตไปในช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมา และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตถึง 95.20% สะท้อนจากความต้องการที่มีอยู่ค่อนข้างมาก เนื่องจากสินค้าของเรา จะนำไปต่อยอดในสินค้ามากมายที่ใช้เส้นยางยืดเป็นส่วนประกอบ โดยส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งเราผลิตเส้นยางยืดครอบคลุมในหลายผลิตภัณฑ์ ทำให้มีความได้เปรียบ และช่วยสร้างการเติบโตขึ้นต่อเนื่อง” นายณัฐ กล่าว

สำหรับความเสี่ยง ส่วนใหญ่ที่มีผลต่อธุรกิจ คือปริมาณน้ำยางข้น ที่ต้องซื้อเพื่อนำมาใช้ในการผลิต โดยบริษัทได้ทำสัญญาร่วมกับ ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป (TRUBB) ในการรับซื้อน้ำยางข้นขั้นต่ำปีละ 18,000 ตัน ซึ่งราคายางค่อนข้างมีความผันผวน แต่บริษัทก็สามารถเพิ่มราคาขายได้ รวมถึงบริษัทจะเลือกซื้อยางตามฤดูกาล ทำให้สามารถจัดการต้นทุนต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 1,622.08 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ  95.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าจำนวน 48.71 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 104.47% เมื่อเทียบกันช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ ได้ขยายกำลังการผลิตเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบแป้งเพื่อรองรับความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากฐานลูกค้าเดิม และรองรับการขยายฐานลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ของเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบแป้ง ซึ่งเป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น สายคล้องหน้ากากผ้า ยางยืดขอบชุด PPE และหมวกคลุมผมทางการแพทย์ เป็นต้น

สำหรับผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2561 – 2563) บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,860.92 ล้านบาท 2,045.11 ล้านบาท และ 2,408.66 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 19.22 ล้านบาท 7.72 ล้านบาท และ 57.81 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 1.03%, 0.38% และ 2.40% ตามลำดับ