NER โชว์กำไร Q3 สูงเกินคาด โชว์ 9 เดือนโต 185% มั่นใจปีนี้เข้าเป้า

HoonSmart.com>> “นอร์ทอีส รับเบอร์” มั่นใจโค้งสุดท้ายยังโดดเด่น รับอานิสงส์ราคายางพาราพุ่ง – ขยายฐานลูกค้าอินเดีย หนุนปี 64 โตตามเป้า หลังเปิดงบ 9 เดือนกำไรสุทธิ 1,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185% กวาดรายได้จากการขายรวม 18,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84% รับขยายกำลังการผลิตโรงงานยางแท่งแห่งที่ 2 และราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้น บล.เคทีบีเอสที ชี้กำไรไตรมาส 3/64 สูงกว่าคาด 10% มองธุรกิจปลายน้ำมาร์จิ้นสูงหนุนผลงานทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง แนะ “ซื้อ” เป้า 10 บาท

ชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจของปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท และปริมาณขายที่ 4.4 แสนตัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และรองรับกลุ่มลูกค้าจาก จีน สิงคโปร์ อินเดีย และ กำลังซื้อจากภายในประเทศ อีกทั้งปัจจุบันบริษัทมีออเดอร์ล่วงหน้าไปถึงปี 2565 แล้ว

นอกจากนี้บริษัทคาดการณ์ว่าจะเห็นภาพรวมความต้องการใช้ยางพาราทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2565 จากความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมยานยนต์ และการขนส่ง ทั้งนี้ทั่วโลกให้ความสนใจต่อประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการลดและงดใช้ยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่เป็นตัวการสำคัญของก๊าซเรือนกระจก ไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ใช้พลังงานสะอาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด และรถยนต์พลังงานเซลส์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั่วโลกมียอดขายที่เพิ่มขึ้น

สำหรับธุรกิจปลายน้ำในปี 2565 บริษัทตั้งเป้ารายได้จากแผ่นยางปูรองนอนวัวประมาณ 500 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิประมาณ 20% ซึ่งจะหนุนให้บริษัทมีทิศทางกำไรสุทธิเติบโตอย่างสม่ำเสมอ และเติบโตในระยะยาว

นายชูวิทย์ กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปี 2564 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทมีกำไรสุทธิ 440.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 287.99 ล้านบาท คิดเป็น 189.07% โดยมีรายได้จากการขายรวม7,153.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,816.27 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 64.94% โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 4,172.20 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 58.33% ของยอดขายรวม และรายได้จากการขายต่างประเทศ 2,980.87 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 41.67% ของยอดขายรวม

สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2564 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนว่า บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 1,245.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 808.52 ล้านบาท คิดเป็น 184.97% คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.76 บาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.28 บาท โดยมีรายได้จากการขายรวม 18,405.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,422.16 ล้านบาท หรือคิดเป็น 84.36% โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 11,741.08 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63.79% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 5,692.86 ล้านบาท คิดเป็น 94.12% และรายได้จากการขายต่างประเทศ 6,664.63 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36.21% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 2,729.30 ล้านบาท คิดเป็น 69.35%

ด้านปริมาณขายสินค้าเพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตในส่วนโรงงานยางแท่ง แห่งที่ 2 ส่งผลให้มีปริมาณการขายสำหรับงวด 9 เดือนอยู่ที่ 345,474 ตัน เพิ่มขึ้น 111,849 ตัน คิดเป็น 47.88% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 3/2564 สูงขึ้น

บล.เคทีบีเอสที มอง NER กำไรไตรมาส 3/2564 สูงกว่าคาด 10% เติบโตโดดเด่นจากงวดปีก่อน จาก gross margin ที่สูงกว่าคาด เป็นผลจากปริมาณการขายและราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้น คงราคาเป้าหมาย ที่ 10.00 บาท อิงพี/อี ปี 2565 ที่ 9.0 เท่า โดยราคาเป้าหมายมี upside จากธุรกิจแผ่นปูนอนวัวที่ยังไม่ได้รวมเข้าไปในประมาณการปี 2565 รวมถึงการ re-rate PER ขึ้้นจากการลงทุนในธุรกิจปลายน้ำ

“ราคาหุ้น underperform SET -6% และ -20% ใน 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมา จาก sector rotation ไปยังกลุ่มพลังงานและเปิดประเทศ โดยเรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยเรามองว่าการเข้าไปทำธุรกิจปลายน้ำของบริษัท จะเป็น key catalyst หลักในการเติบโตในอนาคต โดยธุรกิจแผ่นปูนอนวัวเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง คาด net margin อยู่ราว 20% จาก net margin ของบริษัทปัจจุบันอยู่ประมาณ 5-6% ขณะที่เรามองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะยังเดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ความต้องการยางที่ยังอยู่ในระดับสูง และกำไรเพิ่มเติมจากธุรกิจใหม่ โดยปัจจุบันบริษัทเทรดอยู่ที่พี/อี ปี 2565
เพียง 6.8 เท่า ต ่ากว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมยางในอดีตที่ประมาณ 8 เท่า”บล.เคทีบีเอสที ระบุ