HoonSmart.com>> “คอปเปอร์ ไวร์ด ” ชี้โค้งสุดท้ายของปีไฮซีซั่น หนุนรายได้ปีนี้เติบโตมากกว่า 20% ตามเป้าหมาย ด้านผลงาน 9 เดือนแรก โกยรายได้รวม 2,704 ล้านบาท โตกว่า 34% มีกำไรสุทธิ 35.41 ล้านบาท พุ่ง 121% ส่วนไตรมาส 3/64 รายได้รวม 721 ล้านบาท โต 13% กำไรสุทธิ 3.47 ล้านบาท ยอดขาย Apple หนุน
นายปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด (CPW) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มั่นใจเป้าหมายรายได้ในปีนี้จะเติบโตมากกว่า 20% จากเดิมที่วางไว้โต 20% หลังจากบริษัทได้รับโอนกิจการ IBIZ Plus แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา จะเข้ามาสนับสนุนช่องทางการจำหน่ายของบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งขึ้น รวมทั้งโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะช่องทางค้าส่งที่มีกลุ่มลูกค้าไม่ทับซ้อนกันกับ บริษัท โคแอน จำกัด บริษัทย่อยของ CPW ที่จัดจำหน่ายสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ให้กับร้านค้าปลีกแบรนด์ชั้นนำต่างๆ สอดรับวิสัยทัศน์การลงทุนต่อยอดในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
นอกจากนี้ในไตรมาส 4 โค้งสุดท้ายของปีเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ได้อานิสงส์ iPhone 13 และสินค้าใหม่ทยอยเปิดตัวและวางจำหน่าย สนับสนุนให้ CPW มีสินค้าไฮไลท์กลุ่ม 5G เข้ามาเพิ่มฐานรายได้ให้แข็งแกร่งจากสาขาและผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาเติมเต็มพอร์ต ซึ่งถือว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ เดินหน้าขยายพอร์ตสินค้าเทคโนโลยี ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีก และค้าส่งสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของเมืองไทย หลังจากประกาศรับโอนกิจการและทรัพย์สินบางส่วนของบริษัท ไอบิส พลัส เน็ทเวอร์ค จำกัด (IBIZ Plus) เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับโอนกิจการและทรัพย์สินบางส่วนของ IBIZ Plus เข้ามาในพอร์ตเรียบร้อยแล้ว ตามแผนการลงทุนขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริมแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ เพิ่มเติม รวมทั้ง เป็นการขยายช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย จากปัจจุบันบริษัทฯ จําหน่ายโทรศัพท์มือถือแบรนด์ Apple เพียงแบรนด์เดียว ผ่านช่องทางการจําหน่ายในร้าน Apple Brand Shop และร้าน .life (ดอทไลฟ์) ซึ่งมีรวมกันอยู่ที่ 46 สาขา ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่างจังหวัด ทำให้ปัจจุบันมีสาขากว่า 102 สาขาสะท้อนโอกาสและตลาดที่ใหญ่ขึ้
นายปรเมศร์ กล่าวว่า ภาพรวมผลประกอบการงวดประจำ 9 เดือน ปี 2564 (สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2564) บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 2,704.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 690.80 ล้านบาท คิดเป็น 34.31% และมีกำไรสุทธิรวม 35.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 19 ล้านบาทนับเป็นความสำเร็จในการบริหารจัดการภายในที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรการของรัฐบาลในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) และสะท้อนสินค้าเทคโนโลยีเติบโตอยู่ในกระแสความต้องการของผู้บริโภค
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ของบริษัทฯ และบริษัทฯ ย่อย มีรายได้รวม 721.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 82.82 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12.98% และมีกําไรสุทธิ 3.47ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 0.20 ล้านบาท คิดเป็น 6.12% สำหรับรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 714.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 12.48% เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายสินค้าคอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้า Apple เป็นจำนวน 80.73% ของรายได้และบริการสุทธิ เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 72.93%
ขณะที่รายได้จากการขายสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ มีสัดส่วน 36.56% ของรายได้จากการขายและบริการสุทธิ เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 45.89%
ทั้งนี้ รายได้จากช่องทางออนไลน์มีสัดส่วน 21.18% ของรายได้จากการขายและบริการ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 2.18% โดยบริษัทฯ จะพยายามขยายการเติบโตผ่านช่องทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อเป็นอีกช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแกร่ง
ในไตรมาส 3 ของปีนี้สินค้ากลุ่ม Apple มีการเติบโตที่ดีขึ้น จากยอดขายกลุ่มคอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต รวมทั้งกระแสการทำงานที่บ้าน (Work from Home) หรือการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ สนับสนุนความต้องการสินค้า และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่มากยิ่งขึ้น
ขณะที่ ณ สิ้นไตรมาส 3/2564 บริษัทฯ มีร้านค้าปลีกภายใต้การบริหารงานจํานวน 46 สาขา (จากไตรมาส 3/2563 มีจำนวน 46 สาขา) ประกอบด้วย ร้าน .life (ดอทไลฟ์) จํานวน 23 สาขา ร้าน Apple Brand Shop จํานวน 18 สาขา (แบ่งเป็น iStudio by copperwired จํานวน 13 สาขา U-Store by copperwired จํานวน 4 สาขา และ Ai_ จํานวน 1 สาขา) และศูนย์บริการ iServe จํานวน 5 สาขา สืบเนื่องจากมาตรการของรัฐบาลในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.2563 ถึง 2 ก.พ.2564 บริษัทฯ ได้ปิดร้านค้าปลีกจํานวน 2 สาขา และตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.-31 ส.ค.2564 บริษัทฯ ได้ปิดร้านค้าปลีกจำนวน 37 สาขาเป็นการชั่วคราว (ใน 9 เดือนแรกปี 2563 ตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. – 16 พ.ค.2563 ปิดร้านค้าปลีกจำนวน 41 สาขา)