หุ้นใหญ่ “TEAMG” เผยปล่อยราคาหุ้นไปตามกลไก มั่นใจครึ่งปีหลังได้งานเพิ่มอีก 1 พันล้าน

ผู้ถือหุ้นใหญ่ “TEAMG” ยันปล่อยราคาหุ้นเป็นไปตามกลไกตลาด แม้ราคาต่ำกว่าราคาไอพีไอ ระบุบริษัทจ่ายปันผล 7.5 สตางค์ต่อหุ้น สะท้อนบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนลาวแตก-งานควบคุมงานก่อสร้างภาครัฐล่าช้า มั่นใจครึ่งปีหลังได้งานเพิ่มอีก 1,000 ล้าน จากปัจจุบันที่มี backog กว่า 3,440 ล้านบาท

นายชวลิต จันทรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ (TEAMG) เปิดเผยถึงราคาหุ้น TEAMG ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และล่าสุดราคาหุ้นเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา ปิดที่ 2.20 บาท ต่ำกว่าราคาไอพีโอ 2.42 บาท โดยระบุว่า ในส่วนของราคาหุ้นคงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกลไกตลาด อย่างไรก็ตาม การที่คณะกรรมการบริษัท มีมติจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.075 บาท เป็นการสะท้อนว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆในช่วงที่ผ่านมา

“การที่บริษัทจ่ายเงินปันผลกลางปีหุ้นละ 7.5 สตางค์ หรือคิดเป็นเงินปันผล 6.8% ต่อปี เป็นการสะท้อนว่า เราไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนอะไรเลยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งกรณีเขื่อนในลาวแตก และงานที่ปรึกษาควบคุมงานโครงการภาครัฐบางโครงการที่เลื่อนออกไปจากไตรมาส 2 เช่น งานควบคุมโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู รถไฟทางคู่ ลพบุรี-ปากน้ำโพ เพียงแต่ทำให้เราต้องวุ่นในการจัดกำลังคนกันใหม่ และเมื่อเตรียมคนไว้แล้ว ค่าใช้จ่ายเกิดแล้ว แต่รายได้ยังไม่รับรู้ จึงทำให้ไตรมาส 2 เราสะดุดไปบ้าง” นายชวลิตกล่าว

ชวลิต จันทรรัตน์

นายชวลิต ย้ำว่า ในส่วนผลกระทบกรณีเขื่อนย่อยโครงการเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย ในสปป.ลาวแตกนั้น TEAMG ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบโครงการ และไม่ได้เป็นผู้ลงทุน เป็นเพียงที่ปรึกษาควบคุมงานในส่วนที่บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) รับผิดชอบ ดังนั้น ผลกระทบที่เกิดขึ้น คือ งานควบคุมการก่อสร้างโครงการนี้อาจต้องเลื่อนออกไป 4-6 เดือน ทำให้บริษัทปรับแผนการใช้คนใหม่ โดยโยกคนไปทำงานที่อื่นแทน และเมื่องานก่อสร้างเขื่อนกลับมาดำเนินการอีกครั้ง บริษัทจะหารือกับ RATCH เพื่อปรับเพิ่มเงินและเพิ่มงานต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2561 ราคาหุ้น TEAMG ปิดที่ 2.36 บาท ต่ำกว่าราคาไอพีโอ 2.42 บาท หลังมีข่าวว่าบริษัทเป็นที่ปรึกษางานด้านวิศวกรรมโครงการเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อยในลาว ต่อมาวันที่ 9 ส.ค.2561 ราคาหุ้นปิดที่ 2.20 บาท ต่ำสุดนับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังประกาศกำไรไตรมาส 2 ลดลง 9.65% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีกำไรอยู่ที่ 37 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไร 59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39%เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไร 42 ล้านบาท

นายชวลิต กล่าวถึงแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3 ว่า บริษัทจะทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 3,440 ล้านบาท โดยรายได้ในช่วงไตรมาส 3 มีแนวโน้มดีกว่าไตรมาส 2 ที่มีรายได้รวม 429 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะรับรู้รายได้จากการเป็นที่ปรึกษาควบคุมโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ส่วนทั้งปีมั่นใจว่ารายได้จะเติบโต 10-15% จากปีที่แล้วที่มีรายได้ 1,606 ล้านบาท และพยายามรักษากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 35%

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมั่นใจว่าจะชนะงานประมูลงานที่ปึกษาออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ทั้งโครงการก่อสร้างในประเทศ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการรถไฟทางคู่เส้นทาง 8 เส้นทาง โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 และโครงการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ในกรุงเทพ 1 อาคาร เป็นต้น รวมถึงมีโอกาสไ้งานที่ปรึกษาออกและควบคุมงายในต่างประเทศด้วย เช่น ในลาว กัมพูชา และอินเดีย เป็นต้น