ทริสลดเครดิต UMI เหลือ BB ธุรกิจถดถอย-ฐานะการเงินด้อยลง

ทริสเรทติ้ง ลดอันดับเครดิตสหโมเสคฯ ลง 1 ขั้น ห่วงกระแสเงินสดไม่พอชำระหนี้ เหตุผลงานอ่อนแอกว่าที่คาด ฐานะการเงินด้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ มีหุ้นกู้ 450 ล้านบาทใกล้ครบกำหนดชำระเดือนก.ค.ปีหน้า บริษัทยอมรับสภาพแข่งขันไม่ได้ เจอราคาแก๊สแพงซ้ำเติม ไตรมาส 2 ขาดทุนสุทธิ 35 ล้านบาท รวมครึ่งปี 52 ล้านบาท

บริษัท ทริสเรทติ้ง ลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม(UMI) เป็นระดับ “BB” จากเดิมที่ระดับ “BB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” โดยมองว่าสถานะทางธุรกิจถดถอยลงโดยเห็นได้จากยอดขายที่หดตัวอย่างต่อเนื่องและกำลังการผลิตที่ลดลง ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอกว่าที่ทริสฯคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ บริษัทกำลังพยายามที่จะลดกำลังการผลิตและขั้นตอนปฏิบัติงานต่าง ๆ ลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดต้นทุนต่าง ๆ ให้มากขึ้น

นอกจากนี้ ทริสฯยังคาดว่าอัตรากำไรของบริษัทน่าจะหดตัวแคบลง คาดน่าจะอยู่ในช่วง 2,300-2,400 ล้านบาทในระหว่างปี 2561-2563 อัตรากำไรน่าจะหดตัวจากการปรับขึ้นของราคาก๊าซธรรมชาติ โดยต้นทุนค่าก๊าซ คิดเป็นประมาณ 20%-25% ของต้นทุนการผลิต ตามสัญญาซื้อขายนั้น ราคาของก๊าซจะเคลื่อนไหวตามราคาของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่จะล่าช้ากว่าประมาณ 3-4 เดือน โดยในช่วง 6 เดือนปีนี้ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นประมาณ 25% จึงคาดว่าอัตรากำไร ในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 น่าจะด้อยลงต่อไปอีก น่าจะลดลงและอยู่ต่ำกว่า 6 % เปรียบเทียบกับระดับสูงสุดที่ 11.1% ในปี 2559 ส่งผลให้เงินทุนของบริษัทจะค่อย ๆ ลดลง

ขณะที่อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่เพียงพอของบริษัทในธุรกิจกระเบื้อง อย่างไรก็ตาม สถานะอันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากอุปสงค์กระเบื้องภายในประเทศที่อ่อนตัวลงเป็นเวลานานและการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้นจากกระเบื้องนำเข้า รวมถึงผลกระทบจากต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในด้านสภาพคล่องของบริษัทและจากการกู้ยืมใหม่เพื่อชำระหนี้หุ้นกู้ (รีไฟแนนซ์) ด้วย

ทริสเรทติ้งมองว่าสภาพคล่องบนพื้นฐานของงบการเงินรวมของบริษัทนั้นไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ โดยพิจารณาจากกระแสเงินสดที่ลดลงในขณะที่บริษัทมีหุ้นกู้จำนวนมากที่จะครบกำหนดไถ่ถอน จากประมาณการของทริสฯอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทน่าจะลดลงต่ำกว่า 3 เท่าในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมนั้นน่าจะต่ำกว่า 10%

บริษัทมีหุ้นกู้มูลค่าประมาณ 450 ล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระในเดือนก.ค.2562 โดยบริษัทได้วางแผนจะทยอยชำระล่วงหน้าบางส่วนและจะทำการรีไฟแนนซ์ส่วนเหลือทั้งหมด ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าสถานะทางการเงินที่อ่อนแอลงของบริษัทน่าจะเป็นความท้าทายในการเข้าถึงตลาดการเงินต่าง ๆ ของบริษัทซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงของการรีไฟแนนซ์นั้นสูงขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ทริสฯยังได้พิจารณารวมถึงปัญหาหนี้เงินกู้ของ บริษัทย่อย คือ ที ที เซรามิค ซึ่งบ่งบอกถึงสภาพคล่องที่ไม่เพียงพอ และมีเงินกู้จากการปรับโครงสร้างหนี้อยู่จำนวน 741 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2561 (คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 59.5% ของเงินกู้รวมทั้งหมดของกลุ่ม) โดยในช่วงไตรมาสที่ 2/2561 บริษัทได้เจรจากับธนาคารเจ้าของเงินกู้ต่าง ๆ เพื่อขอลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและการผ่อนชำระเงินต้นลง ซึ่งทางธนาคารได้ตกลงลด ดอกเบี้ยและเงินต้นที่บริษัทต้องผ่อนชำระในปี 2561 ซึ่งทริสเรทติงมองว่าเป็นเพียงการผ่อนปรนชั่วคราว ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท ที ที เซรามิคน่าจะดำเนินการต่อไปในอนาคต

“แนวโน้มผลการดำเนินงานของ UMI จะอ่อนแอต่อไปอีกในช่วง 3 ปีข้างหน้า จากประมาณการพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ต่ำกว่าระดับ 10% และ อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายนั้นน่าจะลดลงจนอยู่ต่ำกว่า 3 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า”ทริสระบุ

ทางด้านบริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม (UMI) เผยในไตรมาส 2/2561 ขาดทุนสุทธิ 35 ล้านบาท แย่ลงเทียบกับที่ขาดทุนสุทธิ 16 ล้านบาท รวม 6 เดือนปีนี้ขาดทุนทั้งสิ้น 52 ล้านบาท พลิกจากที่มีกำไรสุทธิ 3.84 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน

สาเหตุที่ทำให้บริษัทประสบปัญหาขาดทุนมากขึ้น เกิดจากรายได้จากการขายลดลง 9 ล้านบาทหรือ 1% เหลือจำนวน 600 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นลดลง 3% จากการแข่งขันที่สูงขึ้นและราคาแก๊สที่เป็นปัจจัยหลักในการผลิตเพิ่มขึ้น 6% ขณะที่รายได้อื่นลดลง 6 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารลดลง 11 ล้านบาท

ส่วนผลงาน 6 เดือนปีนี้ รายได้จากการขาย ลดลง 113 ล้านบาทหรือ 9% เหลือ 1,171 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นลดลง 2%

บริษัท โรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม (RCI)พลิกมีกำไรสุทธิ 26 ล้านบาท จากไตรมาส 2/2560 ขาดทุนสุทธิ 29 ล้านบาท รวม 6 เดือนปีนี้กำไรสุทธิ 27 ล้านบาท ดีขึ้นมากจากที่เคยขาดทุนสุทธิถึง 206 ล้านบาท

“ไตรมาส 2/2561 มีกำไรขั้นต้น 24.22% เพิ่มขึ้นจากที่ติดลบ 6% จากการขายเหมาสินค้า เพราะต้นปี 2561 บริษัทฯเริ่มสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น 127% แต่ราคาพลังงานที่เป็นต้นทุนหลักในการผลิตเพิ่มขึ้น 7%” บริษัท โรแยล ซีรามิคฯระบุ

อย่างไรก็ตาม ยอดขายสินค้ารวมลดลง 6 ล้านบาทหรือ 3% มาอยู่ที่ 227 ล้านบาท เพราะไตรมาส 2/2560 บริษัทอยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนนโยบายการขาย หลังกลุ่มบริษัท ไดนาสตี้ เซรามิคเข้ามาช่วยบริหารจัดการตั้งแต่เดือนเม.ย.2560 มีการขายสินค้าเหมาเทคลัง ให้กับบริษัทไดนาสตี้ฯ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องอย่างเร่งด่วน ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติเป็น 233 ล้านบาท จากไตรมาส 1 มียอดขาย 110 ล้านบาท