ตั้งโต๊ะซื้อ DELTA ต้องรอ 8 เดือน “บิ๊กเดลต้า” เชื่อหุ้นละ 71 บาทไม่มีใครขาย

“อนุสรณ์”คาดกว่า “DEISG” จะเริ่มตั้งโต๊ะซื้อหุ้น “DELTA” ต้องใช้เวลาอีก 6-8 เดือน เชื่อนักลงทุนเมินขายหุ้นที่ราคา 71 บาท พร้อมคาดปีนี้กำไรโต 10% และจ่ายเงินปันผลใกล้เคียงปีที่แล้ว เดินหน้ากลยุทธ์เพิ่ม “กำไร” มากกว่า “ยอดขาย”

นายอนุสรณ์ มุทราอิศ กรรมการบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA เปิดเผยกรณี Delta Electronics International (Singapore) หรือ DEISG ยื่นทำคำเสนอซื้อ (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) หุ้น DELTA ทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 71 โดยระบุว่า ส่วนตัวเชื่อว่า DEISG ไม่ได้ต้องการหุ้น DELTA ทั้งหมด แต่ต้องการเข้าถือหุ้นให้ไม่ต่ำกว่า 50% จากปัจจุบันที่ถืออยู่ 20% เพื่อนำงบของ DELTA ไปรวมกับงบ DEISG ซึ่งจะทำให้ DEISG มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น

“ที่เขาอยากได้หุ้น DELTA เพราะที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จมาโดยตลอด เขาจึงอยากเข้ามามีส่วนร่วมตรงนี้ด้วย และเท่าที่ดูผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้อยากได้หุ้นทั้ง 100% เพราะราคาที่เสนอซื้อที่หุ้นละ 71 บาท ไม่น่าจะมีใครขาย แต่ผมยังไม่มีโอกาสได้คุยกับผู้ถือหุ้นใหญ่รายอื่นๆว่าอยากจะขายหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเขาจะพยายามซื้อหุ้นให้ได้เกินครึ่ง เพื่อนำงบของ DELTA ไปคอนโซลิเดทกับ DEISG เพราะยอดขายเราโตทุกปีและมีกำไรดี”นายอนุสรณ์กล่าว

อนุสรณ์ มุทราอิศ

นายอนุสรณ์ ย้ำว่า ส่วนตัวเชื่อว่าราคาเทนเดอร์ DELTA ที่หุ้นละ 71 บาท ไม่น่าจะไม่ใครขาย ในขณะที่การซื้อหุ้นจะเกิดขึ้นในอีก 6-8 เดือนข้างหน้าหรือในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า เนื่องจาก DEISG ต้องใช้เวลาดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่างๆอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นราคาหุ้นของ DELTA จะขึ้นไปสูงกว่านี้ โดยปีนี้ DELTA ยังมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตกว่า 10% และจ่ายเงินปันผลในระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้ว

“เราคาดว่ารายได้ของ DELTA ในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ส่วนกำไรจะเติบโต 10% และการจ่ายปันผลจะสูสีกับปีที่แล้ว”นายอนุสรณ์กล่าว

ทั้งนี้ DELTA มีรายได้ปี 2560 อยู่ที่ 5.03 หมื่นล้านบาท มีกำไรสุทธิ 4,930 ล้านบาท และจ่ายปันผลหุ้นละ 2.20 บาท หรือคิดเป็น 4.1% ขณะที่งวดครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้ 2.6 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,448 ล้านบาท

นายอนุสรณ์ ยังระบุว่า จากการหารือกับ DEISG ทราบว่า DEISG ไม่มีแผนนำหุ้น DELTA ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ผลจากการที่ DEISG ยื่นขอเทนเดอร์หุ้น DELTA ทำให้ฝ่ายบริหารของ DELTA ต้องชะลอแผนการเข้าซื้อกิจการของบริษัทอื่นๆทั้งหมด เพื่อรอความชัดเจนในกรณีนี้ อีกทั้งในเวลานี้ยังไม่มีบริษัทใดที่มีความน่าสนใจ ส่วนเงินสดที่บริษัทถืออยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาทนั้น ถือเป็นจุดแข็งของ DELTA เพราะทำให้คู่ค้ามั่นใจว่าบริษัทมีเงินจ่ายค่าสินค้า

ส่วนกรณีที่สหรัฐเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐในอัตรา 25% นายอนุสรณ์ กล่าวว่า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากจีนเป็นคู่แข่งกับสินค้าจากไทยโดยตรง และหากสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มเพาเวอร์ซัพพลายสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์เน็ตเวริ์กจากจีน จะส่งผลดีกับ DELTA อย่างมาก เนื่องจากบริษัทมียอดส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปยังสหรัฐเพียง 20% ของยอดขายรวมเท่านั้น และในช่วงที่ผ่านมาพบว่าลูกค้าจากสหรัฐมีคำสั่งซื้อสินค้าจาก DELTA เพิ่มขึ้น

“ผมยังรอดูอยู่ว่าสหรัฐกับจีนเขาจะจริงจังกันขนาดไหน และถ้ามีการขึ้นภาษีจริง ยอดส่งออกสินค้าของเราไปสหรัฐจะเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 80% หากมีออเดอร์จากสหรัฐเข้ามาเพิ่ม บริษัทสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ทันที และเพิ่มสูงสุดได้เกิน 100%”นายอนุสรณ์กล่าว

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ไตรมาส 3 และ 4 ยอดขายของ DELTA จะเติบโตที่ระดับ 10% ขณะที่กำไรจะเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน หลังจากในช่วงไตรมาส 2 บริษัทได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้กำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 22% เทียบกับช่วงไตรมาส 2 ปีก่อนที่กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25% และตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 จนถึงขณะนี้เงินบาทอ่อนค่าลงเรื่อยๆ ดังนั้น กำไรขั้นต้นของ DELTA จะกลับมาอยู่ที่ระดับ 25-28% ในช่วงที่เหลือของปี

“ยอดขายของเราจะเติบโตที่ระดับ 10-15% ต่อปี และคงไม่มากกว่านี้ เพราะเราไม่เน้นนโยบายเพิ่มยอดขาย แต่จะเน้นการเพิ่มกำไรมากกว่า โดยที่ผ่านมาเราเข้าไปลงทุนในหลายบริษัท เช่น การลงทุนโรงงานใหม่ที่อินเดีย ซึ่งเป็นโรงงานผลิตวัตถุดิบต้นน้ำ เป็นต้น และตรงนี้จะทำให้ DELTA มีกำไรเพิ่มขึ้น”นายอนุสรณ์กล่าว

ปิดตลาดหุ้นภาคเช้าวันนี้ (7 ส.ค.) ราคาหุ้น DELTA ปิดที่ 70.25 บาท บวก 0.25% หรือเพิ่มขึ้น 0.36%