JMT โชว์ยอดจัดเก็บหนี้เพิ่ม หนุนงบ Q1/64 กำไร 283 ล้านบาท โต 37%

HoonSmart.com>>JMT ประกาศกำไร Q1/64 อยู่ที่ 283 ล้านบาท โตกว่า 37% รายได้รวมอยู่ที่ 809 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% จากยอดจัดเก็บหนี้เติบโตขึ้น เตรียมรอประมูลหนี้ก้อนใหญ่เพิ่มอีกหลายแห่ง มั่นใจผลงานปีนี้ยังทำนิวไฮได้ตามเป้า แม้มีแนวโน้มหนี้ NPL เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส หรือ JMT ผู้นำในธุรกิจหนี้ด้อยคุณภาพภาคเอกชนรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2564 ว่า บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 283 ล้านบาท เติบโตขึ้น 37% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 206.8 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้น 72% อัตรากำไรสุทธิ 35% ผลจากธุรกิจบริหารหนี้ที่มียอดจัดเก็บ (Cash Collection) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1,005 ล้านบาท ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่บริษัทสามารถรับมือและบริหารจัดการได้ดี

ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 809 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 764.5 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ย เงินปันผล และกำไรจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้จากธุรกิจซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหาร รวมอยู่ที่ 678.7 ล้านบาท เนื่องจากประสิทธิภาพในการจัดเก็บหนี้ และคุณภาพกองหนี้ที่ซื้อเข้ามาบริหารในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งความสำเร็จในการตัดมูลค่าเงินลงทุนในกองหนี้ด้อยคุณภาพที่เพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้รายได้จากธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้อยู่ที่ 91 ล้านบาท และมีรายได้จากการรับประกันภัย 39.2 ล้านบาท ซึ่งมาจากการรับรู้รายได้ในธุรกิจประกันภัย ของ บริษัท เจพี ประกันภัย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยจากการขยายพอร์ตประกันภัยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

ณ สิ้นไตรมาส 1/2564 JMT มีพอร์ตบริหารหนี้รวมประมาณ 213,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปลายปี 2564 อยู่ที่ประมาณ 207,051 ล้านบาท จากความสามารถในการซื้อหนี้เข้ามาบริหารได้เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาส 1/2564 ใช้งบลงทุนซื้อหนี้ไปแล้ว 1,833 ล้านบาท จากงบลงทุนซื้อหนี้ที่วางไว้ทั้งปีไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท มองทิศทางครึ่งปีหลังเติบโตกว่าครึ่งปีแรก และอยู่ระหว่างรอประมูลกองหนี้ก้อนใหญ่อีกหลายกอง

ยอมรับภาพรวมยอดคงค้างสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากภาพรวมเศรษฐกิจ และสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 นอกจากนี้ บริษัทฯได้ประกาศแผนรุกธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และเข้าไปลงทุนในบริษัทประเมินราคาสินทรัพย์ สร้างฐานกำไรในอีกขาธุรกิจหนึ่งที่เป็นโอกาส และสนับสนุนผลประกอบการปี 2564 ให้บันทึกสถิติสูงสุดใหม่ตามเป้าหมายที่วางไว้