TU กำไรดิ่ง 99.32% ตั้งสำรองจ่ายคดี “Walmart” 44 ล้านเหรียญ

TU กำไรไตรมาส 2 ทรุดฮวบเหลือ 9.63 ล้านบาท ลดลง 99.32% เหตุตั้งสำรองพิเศษ 44 ล้านเหรียญ จ่ายค่าชดเชยคดีห้าง “Walmart” ฟ้องผูกขาด ขณะที่ผลการดำเนินการปกติมีกำไร 2,237 ล้านบาท พร้อมประกาศจ่ายปันผล 0.25 บาทต่อหุ้น หลังกระแสเงินสดเพียบ

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2/2561 มีกำไรสุทธิ 9.63 ล้านบาท ลดลง 99.32% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,421.03 ล้านบาท ส่งผลให้งวด 6 เดือนแรกปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 878.62 ล้านบาท ลดลง 69.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,853.36 ล้านบาท

ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้กำไรสุทธิของ TU ไตรมาสที่ 2 ลดลงดังกล่าวเป็นผลจากในช่วงไตรมาส 2/2561 บริษัท Chicken of the Sea ได้บรรลุถึงข้อตกลงชำระค่าชดเชยกับร้านค้าปลีก Walmart ภายใต้คดีต่อต้านการผูกขาด (Antitrust) และคดีอื่นๆ โดยบริษัท Chicken of the Sea ได้มีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพิเศษทางกฎหมายคิดเป็นมูลค่า 44 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นมูลค่าที่สะท้อนความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับคดีนี้

“ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษและไม่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินงานปรกติของบริษัท แต่อย่างไรก็ตาม หากรวมรายการพิเศษที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงานปรกติ บริษัทจะมีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน 285 ล้านบาท และมีกำ ไรสุทธิที่ 9.6 ล้านบาท” TU ระบุ

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2561 พบว่าบริษัทมียอดขาย 34,137 ล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 7.0% เมื่อเทียบกับปี ขณะที่ยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 อยู่ที่ 63,839 ล้านบาท ลดลง 3.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลง 1.5% หากแยกผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนออกไป

ส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 4,709 ล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ปรับเพิ่มขึ้น 40.1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2561 ซึ่งเป็นผลจากราคาวัตถุดิบที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น และการเจรจาปรับราคากับคู่ค้า ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 13.8% ปรับลดลง 0.44% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 2.48% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2561 ส่งผลให้กำไรขั้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 คิดเป็น 8,068 ล้านบาท ลดลง 15.1% จากเทียบกับปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 2/2561 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน 1,142 ล้านบาท ลดลง 30.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เพิ่มขึ้นถึงกว่า 45 เท่า เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2561 ซึ่งเป็นการฟื้นตัวจากอัตรากำไรขั้นที่ดีขึ้นและการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารายได้ในรูปสกุลเงินบาทจะลดลง 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายในไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ระดับ 10.4% สูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 10% เพียงเล็กน้อย

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาผลการดำเนินงานปกติพบว่าบริษัทมีกำไร 1,368 ล้านบาท ลดลง 3.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2560 แต่เพิ่มขึ้น 57.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2561 โดยผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวจากไตรมาส 1/2561เกิดจากราคาวัตถุดิบที่มีเสถียรภาพมากขึ้น การจัดการความผันผวนของค่าเงินบาทได้ดี และเงินสินไหมทดแทนจากบริษัทในเครือในต่างประเทศ

ขณะที่กำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 อยู่ที่ 2,237 ล้านบาท ลดลง 21.6% เมื่อเทียบกับในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 เนื่องจากสภาวการณ์ที่ท้าทายในไตรมาส 1/2561 ในขณะที่ไตรมาส 2/2561 นั้นผลประกอบการค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยอัตรากำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 อยู่ที่ 3.5% เมื่อเทียบกับ 4.3% เมื่อปีก่อน

“เนื่องจากการควบคุมสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ และผลประกอบการที่ปรับดีขึ้น กระแสเงินสดของบริษัทจึงสูงถึง 3,794 ล้านบาทในไตรมาส 2/2561 บริษัทฯจึงประกาศจ่ายเงินปันผลได้ที่ 0.25 บาทต่อหุ้น ขณะที่อัตราส่วนหนี สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ระดับ 1.41 เท่า ซึ่งต่ำกว่าระดับข้อกำหนดทางการเงินของบริษัทฯ (bond covenant) ที่ระดับ 2 เท่า”

โดยคณะกรรมการ TU มีมติวันนี้ (6 ส.ค.) ให้จ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.25 บาทต่อหุ้นให้กับผู้ถือหุ้น โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 20 ส.ค.2561 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) ในวันที่ 21 ส.ค.2561 และจ่ายปันผลวันที่ 3 ก.ย. 2561