SMART ขาดทุนลดลง เร่งขยายตลาด “อิฐมวลเบา”

SMART แจ้งผลประกอบการไตรมาสขาดทุน 10.35 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 21.68% ลั่นแนวโน้มครึ่งปีหลังดีขึ้น หลังลงทุนภาครัฐคึกคัก เดินหน้าส่งอิฐมวลเบาเข้าโมเดริ์นเทรด

บริษัท สมาร์ทคอนกรีต (SMART) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2/2561 มีผลขาดทุนสุทธิ 10.35 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 2.86 ล้านบาท หรือขาดทุนลดลง 21.68% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีผลขาดทุน 13.21 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากปริมาณการขายและราคาขายที่สูงขึ้นจากปีก่อน ทำให้กำไรขั้นต้น กำไร (ขาดทุน) ก่อนดอกเบี้ยและค่าเสื่อมของบริษัทปรับตัวดีขึ้น และทำให้การขาดทุนสุทธิลดลง

นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ SMART ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานกั้นผนังอาคาร กล่าวว่า ไตรมาส 2/2561 บริษัทมีรายได้รวม 86.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.11 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19.58% เทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 72.07 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 10.35 ล้านบาท ลดลง 21.68% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีผลขาดทุน 13.22 ล้านบาท

“สาเหตุที่ทำให้ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น มาจากปริมาณการใช้งานวัสดุอิฐมวลเบาของโครงการภาครัฐขนาดกลาง การลงทุนโครงการของภาคเอกชน เริ่มมีการฟื้นตัว และราคาจำหน่ายอิฐมวลเบามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นและขาดทุนสุทธิของบริษัทปรับตัวดีขึ้น”นายรังสีกล่าว

สำหรับงวดครึ่งปีแรกของปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 175.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.07% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่มีรายได้รวม 152.12 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 18.41 ล้านบาท ลดลง 61.85% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 48.26 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังผลประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้น ตามทิศทางการเติบโตของตลาดวัสดุก่อสร้างและอิฐมวลเบาในประเทศ เนื่องจากภาครัฐมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และการลงทุนตามนโยบายอีอีซี

นายรังสี กล่าวว่า บริษัทยังคงเดินหน้าแผนขยายฐานลูกค้ารายย่อย ผู้ออกแบบ ผู้รับเหมา ให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น เนื่องจากมีความต้องการใช้งานอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกระจายผลิตภัณฑ์ผ่านร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำในทุกภูมิภาค โดยปัจจุบันมีวางจำหน่ายในไทวัสดุจำนวน 42 สาขา โกลบอลเฮ้าส์ 17 สาขา ซึ่งบริษัทจะเพิ่มช่องทางจำหน่ายดังกล่าวต่อเนื่อง อีกทั้งออกบล็อกมวลเบาตกแต่งที่มีลวดลายใหม่เพิ่มเติมเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า

ส่วนตลาดในกลุ่มประเทศ AEC บริษัทได้รุกตลาดในประเทศ สปป.ลาวมากขึ้น โดยมีแผนเพิ่มตัวแทนจำหน่ายให้ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ เนื่องจากความต้องการใช้งานในสปป.ลาวมีการขยายตัวค่อนข้างมาก ปัจจุบันมีออเดอร์สินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนตลาดในประเทศกัมพูชา ยังเติบโตดีมีปริมาณคำสั่งซื้อต่อเนื่อง คาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 %