ก.ล.ต.ฟันปั่นหุ้น KIAT ปรับ 13 รายกว่า 291 ลบ. ‘เกียรติชัย’ อดีต MD โดนหนักสุด

HoonSmart.com>> ก.ล.ต.ดำเนินคดี ลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 13 ราย สร้างราคาหุ้น “เกียรติธนา ขนส่ง” จาก 7.75 บาทไปถึง 15.60 บาทปี 57  เรียกให้ชำระค่าปรับรวม 291.17 ล้านบาท ด้าน “เกียรติชัย มนต์เสรีนุสรณ์” ผู้ถือหุ้นใหญ่-กรรมการผู้จัดการ KIAT โดนหนักสุดกว่า 112 ล้านบาท “โกลบอล คอนซูเมอร์”ติดร่างแหด้วย

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 13 ราย กรณีสร้างราคาหุ้นบริษัท เกียรติธนา ขนส่ง (KIAT) โดยเรียกให้ชำระค่าปรับทางแพ่งรวม 291,175,810 บาท

หลังจาก ก.ล.ต.ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ระหว่างวันที่ 4 – 22 ธ.ค. 2557 บุคคลจำนวน 13 ราย ได้แก่ (1) นายเกียรติชัย มนต์เสรีนุสรณ์ (2) นายน้ำ ชลสายพันธ์ (3) นายศุภวุฒิ มณีรินทร์ (4) นางสาวศนิ จิวจินดา (5) นายยศ ธนารักษ์โชค (6) นางนิภา ชลสายพันธ์ (7) นางสาวน้ำทิพย์ ชลสายพันธ์ (8) นายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย (9) บริษัทนิปปอน แพ็ค (ประเทศไทย) หรือ NPP ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ (GLOCON) (10) นางสาวรินนภา คุณะวัฒน์สถิตย์ (11) นายปฏิญญา เทวอักษร (12) นางกิ่งกาญจน์ สมิตานนท์ และ (13) นายประพล มิลินทจินดา ได้ร่วมกันสร้างราคาหุ้นบริษัท เกียรติธนา ขนส่ง ให้ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด ซึ่งมีผลทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นจาก 7.75 บาท เป็นราคา 15.60 บาท

บุคคลข้างต้นได้แบ่งหน้าที่กันเพื่อสร้างราคาหุ้น กล่าวคือ นายน้ำ นายศุภวุฒิ นางสาวศนิ และนายยศ ทำหน้าที่ซื้อขายหุ้น KIAT เพื่อให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นผิดไปจากสภาพปกติของตลาด ในช่วงเวลาเดียวกันนายเกียรติชัย นายสุรพงษ์ NPP (ซึ่งนายสุรพงษ์เป็นกรรมการผู้จัดการและเป็นผู้มีอำนาจซื้อขายในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของ NPP) นางสาวรินนภาซึ่งมีนายสุรพงษ์เป็นผู้รับประโยชน์ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตน นายปฏิญญา และนางกิ่งกาญจน์ซึ่งมีนายประพลเป็นผู้รับประโยชน์ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตน ร่วมทำรายการซื้อขายบนกระดานรายใหญ่ (Big lot) เป็นจำนวนมากหลายครั้งตามราคาที่กลุ่มผู้กระทำความผิดได้ผลักดันให้สูงขึ้นแล้ว ทำให้ผู้ลงทุนทั่วไปเข้าใจว่ามีผู้ร่วมลงทุนใหม่สนใจลงทุนใน KIAT ในราคาที่สูงขึ้นตามลำดับ

ในขณะที่กลุ่มผู้ที่ร่วมกระทำความผิดดังกล่าวซึ่งรวมถึงนางนิภาและนางสาวน้ำทิพย์ซึ่งเป็นภรรยาและบุตรของนายน้ำได้ขายหุ้น KIAT เพื่อทำกำไร โดยนายเกียรติชัยนำหุ้นที่ฝากไว้ในบัญชีบุคคลอื่น (nominee) มาขายทำกำไรเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าวนายเกียรติชัยในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ และกรรมการผู้จัดการของ KIAT ได้เสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนให้กับบุคคลเฉพาะเจาะจงแก่ผู้ที่ร่วมกันกระทำความผิดในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด การลดมูลค่าพาร์ของหุ้น KIAT และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญให้กับผู้ถือหุ้นโดยไม่คิดมูลค่า เพื่อสร้างความน่าสนใจในการซื้อขายหุ้น KIAT อีกทางหนึ่ง

การกระทำของบุคคลดังกล่าวข้างต้นเป็นความผิดตามมาตรา 243 ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และมาตรา 317/4(1) แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ที่แก้ไขโดยฉบับที่ 5 พ.ศ. 2559 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้ ก.ล.ต. นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิด 13 ราย โดยกำหนดให้ชำระค่าปรับทางแพ่งดังนี้ (1) นายเกียรติชัย จำนวน 112,609,500 บาท (2) นายน้ำ จำนวน 10,530,345 บาท (3) นายศุภวุฒิ จำนวน 9,989,632.50 บาท (4) นางสาวศนิ จำนวน 7,746,735 บาท (5) นายยศ จำนวน 5,637,442.50 บาท (6) นางนิภา จำนวน 2,865,330 บาท (7) นางสาวน้ำทิพย์ จำนวน 529,545 บาท (8) นายสุรพงษ์ จำนวน 33,859,920 บาท (9) NPP จำนวน 23,295,000 บาท (10) นางสาวรินนภา จำนวน 500,000 บาท (11) นายปฏิญญา จำนวน 60,330,000 บาท (12) นางกิ่งกาญจน์ จำนวน 500,000 บาท และ (13) นายประพล จำนวน 22,782,360 บาท

ทั้งนี้ การที่ ค.ม.พ. ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นบุคคลจำนวน 12 ราย เป็นเหตุให้ผู้กระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งการมีลักษณะต้องห้ามการเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน โดยปัจจุบันนายปฏิญญาและนายประพล ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียน และนายประพลเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ซึ่ง ก.ล.ต. อยู่ในระหว่างการพิจารณาดำเนินการ