ก.ล.ต.เตรียมให้ผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายผลิตภัณฑ์ตลาดทุนแทนลูกค้าได้

ก.ล.ต.เปิดรับฟังความคิดเห็นร่างหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า สามารถให้บริการซื้อขายผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนแทนลูกค้าได้ในขอบเขตที่จำกัดตามที่ลูกค้ายินยอม เพื่อเพิ่มโอกาสลงทุน และสนับสนุนการลงทุนที่หลากหลายให้แก่ผู้ลงทุน

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีแนวคิดในการแก้ไขประกาศที่เกี่ยวข้อง โดยจะอนุญาตให้ผู้แนะนำการลงทุนในสังกัดของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีความถนัดด้านการลงทุนที่เท่าทันกับสถานการณ์ในตลาด สามารถตัดสินใจซื้อขายผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนแทนลูกค้าได้ โดยต้องได้รับความยินยอมและภายในขอบเขตที่ตกลงไว้ล่วงหน้ากับลูกค้า เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนได้ครอบคลุมและสะดวกมากขึ้น

ทั้งนี้ ก.ล.ต. เคยเสนอแนวคิดดังกล่าวผ่านการรับฟังความเห็นในช่วงปลายปี 2560 และนำข้อคิดเห็นที่ได้รับไปหารือกับผู้เชี่ยวชาญ โดยในครั้งนี้ ก.ล.ต. เปิดรับฟังความคิดเห็นการยกร่างกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยมีรายละเอียดครอบคลุมการกำหนดขอบเขตของผลิตภัณฑ์ที่ผู้ประกอบธุรกิจสามารถให้บริการได้ ทั้งผลิตภัณฑ์ที่จดทะเบียนในตลาดทุนไทยและต่างประเทศ รวมถึงการกำหนดรายละเอียดของสัญญาการให้บริการ อาทิ การรับคำสั่งลูกค้า ซึ่งแนวทางที่เสนอจะเปิดให้สามารถตกลงกับลูกค้าเพื่อกำหนดหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ลูกค้าต้องการซื้อขายจริงโดยไม่จำกัดจำนวน หากเป็นความประสงค์ของลูกค้า เพื่อให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกและมีโอกาสลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ และจะมีการกำหนดอัตราขาดทุนสูงสุด โดยเปิดกว้างให้ผู้ให้บริการและลูกค้าสามารถร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินการเมื่อถึงจุดต้องยุติขาดทุน (stop-loss limit) ได้

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องปฏิบัติเพิ่มเติม เช่น จัดให้มีระบบการแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าทราบภายในระยะเวลาที่ตกลงกันในกรณีที่เกิดการขาดทุนเกินกว่ากำหนด เป็นต้น

ก.ล.ต. ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวไว้ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. https://capital.sec.or.th/webapp/phs/upload/phs1531993242hearing_29_2561.pdf ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจสามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ หรือทาง e-mail piyaruj@sec.or.th หรือ wasu@sec.or.th จนถึง วันที่ 24 สิงหาคม 2561 โดยคาดว่าจะเริ่มมีผลใช้บังคับได้ภายในไตรมาส 3 ปี 2561