“FSS”คาดหุ้นเด้งกลับ กลุ่มยานยนต์กำลังซื้อแผ่ว

HoonSmart.com>>ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) คาดSET Index จะแกว่ง Sideways to Sideways Up
ฟื้นตัวได้ระยะสั้นในกรอบ 1,388-1,400 จุด ด้านกลุ่มยานยนต์ กำลังซื้อภายในประเทศแผ่วผลจากดอกเบี้ยสูง แบงก์คุมเข้มสินเชื่อ AH จะมีกำไรสดใสกว่ากลุ่มในระยะยาว หุ้นแนะนำวันนี้ GULF จาก 3 ปัจจัยบวกหนุน ราคาเป้าหมาย 54 บาท

บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) คาด SET Index วันนี้ ( 25 ต.ค.2566) จะแกว่ง Sideways to Sideways Up ฟื้นตัวได้ระยะสั้นในกรอบ 1,388-1,400 จุด โดยสัญญาณ RSI เข้าเขต Oversold จากบรรยากาศการลงทุนผ่อนคลายมากขึ้นหลังจีนส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ขณะที่ Bond Yield 10 ปีของสหรัฐฯยังทรงตัวที่ 4.82% หลังพุ่งแตะ 5% ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม Upside ยังคงจำกัดโดยตลาดยังคงโฟกัสทิศทางดอกเบี้ยและเศรษฐกิจสหรัฐฯตัวเลขที่ต้องติดตามคือเงินเฟ้อ PCE เดือน ก.ย.สหรัฐฯคืนวันศุกร์ และ GDP ไตรมาส 3 ปี 2566 ในสัปดาห์หน้า

ส่วนปัจจัยในประเทศยังคงไม่มีความชัดเจนของนโยบายเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทและอาจต้องขยับกำหนดเริ่มโครงการ 1 ก.พ. ออกไป ขณะที่กำไรไตรมาส 3 ปี 2566 ของบจ.ซึ่งอยู่ในช่วงทยอยคาดการณ์และประกาศค่อนข้างผสมผสาน

ทั้งนี้ ยังเน้นให้เลือกลงทุนในหุ้นที่คาดผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2566 -2567 แข็งแกร่ง โดยระยะสั้นยังชอบกลุ่ม การแพทย์ สื่อสารฯ ธนาคาร ส่วนกลุ่ม ค้าปลีก ไฟแนนซ์ อาหารท่องเที่ยว คาดว่าจะทยอยฟื้นตัวได้ในระยะกลาง-ยาวจากเศรษฐกิจไทยที่จะทยอยเร่งตัวตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเริ่มเห็นผลในไตรมาส 4 ปี 2566 -2567

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่มีโมเมนตัมกำไรไตรมาส 3 ปี 2566 แข็งแกร่งและ PER/PBV ต่ำ // ยังถือลงทุนระยะยาวหลังสะสมหุ้นเพิ่มไปแล้วบริเวณ 1,450+- จุด
หุ้นเด่นเดือน ต.ค : AAV, BBL, BDMS, JMT, KCE

หุ้นเด่นวันนี้ : GULF แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 54 บาท แม้รัฐบาลจะลดค่าไฟเหลือ 3.99 บาท/หน่วยในช่วง ก.ย.-ธ.ค. นี้ แต่เราคาดกำไร ครึ่งหลังของปี 2566 จะเติบโตแข็งแกร่ง +43% h-h จาก 1) การ COD ของ GDP เฟส 2 (เป็น IPP 662MW) 2)โรงไฟฟ้าพลังงานลมเข้าสู่ peak season และ 3) รับรู้ส่วนแบ่งกำไรของ PTT NDG เพิ่มขึ้นเพราะต้นทุนก๊าซลดลง ความเสี่ยงต่ำสุดในกลุ่มเพราะกว่า 70% ของรายได้เป็นการขายให้ EGATซึ่งส่งผ่านต้นทุนได้ และมีการเติบโตของ MW อย่างต่อเนื่อง คาดกำไร 2566-2567 โต 44% และ 15% ตามลำดับ แนวรับ 42//40 บาท แนวต้าน 44-45 บาท

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคต่อเนื่องอีก 520 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยกระจุกตัวที่ไต้หวัน 379 ล้าน เหรียญสหรัฐ ส่วนเกาหลีใต้ไหลออกบางๆ 49 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้านตลาดอาเซียนเม็ดเงินไหลออกทุกประเทศ 11-40 ล้านเหรียญสหรัฐ นำโดยไทยแนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดชะลอไหลออกหรือพลิกมาไหลเข้าได้บ้างในระยะสั้นหลัง BondYield สหรัฐฯเริ่มย่อตัว

ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) ส่งออกเดือน ก.ย ดีกว่าคาด +2.1% y-y (ตลาดคาดที่ -1.75% y-y) ทำให้ส่งออก 9 เดือนแรก ปี 2566 -3.8% ขณะที่นำเข้าเดือนก.ย -8.3% y-y ทำให้เกินดุลการค้า 2 พันล้านเหรียญ สินค้าเกษตรส่งออกเดือน ก.ย.+17.7% y-y ขยายตัวเป็นเดือนที่ 2 ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร +5.4% y-y พลิกกลับมาบวกในรอบ 6 เดือน สินค้าที่ขยายตัวดีคือ ผลไม้สดแช่แย็น แช่แข็ง/ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (เป็นบวกต่อ TWPC
PQS) สิ่งปรุงรสเป็นบวก 3 เดือนติดต่อกัน (เป็นบวกต่อ XO) สินค้าที่หดตัวนำโดยอาหารทะเลกระป๋องแปรรูป (เป็นลบต่อ TU ASIAN AAI) ยางพารา (เป็นลบต่อ STA NER)ไก่แปรรูป (เป็นลบต่อ GFPT) และ อาหารสัตว์เลี้ยง (เป็นลบต่อ ITC AAI)

(0) กลุ่มยานยนต์ ภาพกำลังซื้อในประเทศแผ่ว กำไรปกติไตรมาส 3 ปี 2566 คาด +34% q-q จาก low season ในไตรมาส 2 ปี 2566 แต่ -4% y-y ปัญหาในปีนี้ไม่ได้อยู่ที่ต้นทุนวัตถุดิบผันผวนแต่อยู่ที่ยอดขายที่ถูกกระทบจากกำลังซื้อ ดอกเบี้ยสูง แบงก์คุมเข้มสินเชื่อ AH น่าจะมีกำไรสดใสกว่ากลุ่มในระยะยาว มีความพร้อมในการผลิตชิ้นส่วนรถ EV มากสุด ปัจจุบันได้รับคำสั่งซื้อจาก VinFast แล้ว

ขณะที่ปีนี้กำไรเติบโตไม่สูงนักเพราะเพิ่งร่วมลงทุน 51% ในโรงงาน Purem (มาตรฐานไอเสียยูโร 6) เริ่มผลิตท่อไอเสียที่มาเลเซีย ก.ย.นี้และเริ่มผลิตที่ไทยสิ้นปีนี้ รับรู้รายได้เต็มปีปีหน้า Top picks ในกลุ่มเป็น AH (ราคาเป้าหมาย45 บาท) และ STANLY (ราคาเป้าหมาย 240 บาท)