เลี่ยง 20 หุ้นฝุ่นตลบ เมียนมารัฐประหาร PTTEP ทุ่มโอมาน 7.3 หมื่นลบ.ลดเสี่ยง

HoonSmart.com>>บล.เอเซียพลัสแฉ 18 หุ้น ลงทุน-มีรายได้จากเมียนมา ในช่วงสั้นแนะหลีกเลี่ยง เจอหางเลขจากรัฐประหาร เมย์แบงก์ฯเตือนรับเหมาเจ็บหนัก CBG-ICHI น่าสน รอราคาลงมา บล.บัวหลวงประเมินไม่น่าห่วง GLOBAL, MAKRO, PTT มอง GPSC ส้มหล่น ส่วน PTTEP ยันการผลิตใน 3 แหล่งยังคงเดินหน้าปกติ เพิ่มพอร์ตลงทุนในโอมานอีก 7.3 หมื่นล้านบาท ได้แหล่งผลิตก๊าซขนาดใหญ่ รับรายได้ทันที บล.ทรีนีตี้ คงแนะนำซื้อ ตีมูลค่า 191 บาท กรณีเลวร้ายสุดรายได้ 12% หายไป กดดันหุ้นแค่ 5-10 บาท

บล.เอเซียพลัส รายงานว่ามีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 18 บริษัทที่มีการลงทุนและมีรายได้จากเมียนมา โดยนายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย คาดว่าการรัฐประหารจะส่งผลกระทบในช่วงสั้นๆ จึงแนะนำหลีกเลี่ยงไปก่อนในช่วงนี้

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การรัฐประหารในเมียนมา อาจจะส่งผลกระทบในช่วงสั้นๆต่อหุ้น CBG ,ICHI ,OSP ,PTTEP ,ITD ,TTCL และ SEAFCO โดยเฉพาะกลุ่มก่อสร้าง งานอาจจะมีผลสะดุดจากการเปลี่ยนรัฐบาล อย่างไรก็ตาม หุ้น CBG ยังน่าลงทุน แต่ต้องรอให้ราคาปรับฐานลงมาก่อน บริเวณ 132 บาท เช่นเดียวกัน ICHI รอราคาแถว 11.40 บาท

ส่วน PTTEP มีประเด็นบวก คือการเข้าลงทุน 20% ในแปลง 61 ที่ประเทศโอมาน มูลค่าการลงทุน 2,450 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ยังไม่แนะนำให้ซื้อหุ้น เพราะราคาน้ำมันดิบยังมีทิศทางเคลื่อนตัวที่ไม่ชัดเจน หรือรอปัจจัยการลงทุนใหม่ๆ ที่ก่อให้เกิดรายได้ชัดเจนก่อน

บล.บัวหลวง ประเมินรัฐประหารเมียนมามีผลลบต่อ CBG จากการส่งสินค้าเครื่องดื่มชูกำลังไปขาย รายได้ประมาณ 10-15% OSP รายได้ 9% จากการผลิตและขายตรง ส่วน PTTEP ผลิตก๊าซธรรมชาติ 3 โครงการสร้างรายได้ 12% หากหลุดผลิตจะกระทบกำไรประมาณ 9% ส่วน GLOBAL ที่ถือหุ้น 30% กับพันธมิตรท้องถิ่น 9 สาขา ไม่มีนยัสำคัญต่อกำไร เช่นเดียวกับ MAKRO มี 1 สาขา รายได้ไม่ถึง 1%
ส่วน ปตท. (PTT) นำเข้าก๊าซจากเมียนมา 15% ของปริมาณทั้งหมด แต่มีทางเลือกนำเข้า LNG มาแทน หากเป็นอย่างนั้นจะส่งผลดีต่อ GPSC จากมาร์จิ้น SPP ถ่านหินจะดีขึ้น เพราะการนำเข้่ LNG ทำให้ราคาก๊าซแะไฟฟ้าแพงขึ้น

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) แจ้งว่า บริษัท ปตท.สผ.อินเตอร์เนชั่นแนล สำนักงานย่างกุ้ง ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ยังคงดำเนินการผลิตก๊าซธรรมชาติจากโครงการซอติก้า รวมถึงโครงการร่วมทุน ได้แก่ โครงการยาดานา และโครงการเยตากุน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และการบริหารงานต่าง ๆ ในภาพรวมได้ตามปกติ โดยบริษัทมีแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ เพื่อรองรับการบริหารจัดการธุรกิจในภาวะฉุกเฉินต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

ด้านนายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท.สผ. กล่าวว่า บริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น 20% ในแปลง 61 ในประเทศโอมาน จากบริษัท บีพี เอ็กซ์พลอเรชั่น (เอปซิลอน) มูลค่า 2,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 7.3 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มเติมอีก 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หากบริษัทบีพีสามารถบรรลุการดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขาย ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี 2564

ทั้งนี้ แปลง 61 เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติบนบกที่มีปริมาณสำรองขนาดใหญ่ที่มีการผลิตก๊าซธรรมชาติถึงประมาณ 35% ของประเทศ ซึ่งการเข้าร่วมทุนครั้งนี้ จะสามารถเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมและเพิ่มปริมาณการขายให้กับบริษัทได้ทันที รวมทั้งเปิดโอกาสให้ ปตท.สผ. ได้มีส่วนร่วมพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพในประเทศโอมานร่วมกับพันธมิตรซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันระดับโลก

ปัจจุบัน ปตท.สผ. มีการลงทุนในประเทศโอมาน ทั้งธุรกิจขั้นต้น (Upstream) และธุรกิจขั้นกลาง (Midstream) ได้แก่ โครงการพีดีโอ (แปลง 6) โครงการมุคไคซนา (แปลง 53) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบบนบกขนาดใหญ่ โครงการโอมาน ออนชอร์ แปลง 12 และโครงการโอมาน แอลเอ็นจี ซึ่งเป็นโรงงานผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวแห่งเดียวในโอมาน

บล.ทรีนีตี้ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” PTTEP ให้ราคาเป้าหมาย 119 บาท/หุ้น  ในกรณีเลวร้ายสุดถ้าไม่สามารถดำเนินการต่อได้ใน 3 โครงการ อาจจะกระทบต่อ ราคาเป้าหมาย 5-10 บาทต่อหุ้น  ด้านราคาหุ้น PTTEP ปิดที่ 106.50 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาทหรือ 2.90% เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2564

นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนพรินซิเพิล กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมียนมาเบื้องต้นไม่น่าจะกระทบมาก เนื่องจากหุ้นที่มีความเชื่อมโยงกับเมียนมามีไม่กี่บริษัท ประกอบกับการค้าระหว่างไทยกับเมียนมาก็ไม่มาก อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป เพราะเพิ่งเกิดขึ้น