โดย…สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP นักวางแผนการเงิน
เวลาที่ว่างจากงาน ผมมีงานอดิเรกอย่างนึง คือ เข้า facebook หาหนังสือมือสองด้านการเงินการลงทุนอ่านเอาแบบประหยัดตังค์ แต่หนังสือมือสองที่ราคาไม่ถูกลงเลยแถมราคาแพงกว่าราคาหน้าปกอีก ก็มักจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับ Waren Buffette ทำให้นึกถึงงานบรรยาย “ตีแตกการลงทุน Buffettology” ที่จัดโดยบลจ.กรุงศรี เมื่อนานมาแล้ว โดยวิทยากรที่มาให้ความรู้ คือ “คุณประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์” อดีตประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. กรุงศรี กับ “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” หรือ Warren Buffett เมืองไทย
การสัมมนาครั้งนั้นวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งด้านความรู้และประสบการณ์ ได้มาถ่ายทอด วิเคราะห์ และยกตัวอย่างการปรับกลยุทธ์ Buffettology ในการลงทุนในเมืองไทย เผื่อหลายคนที่อยากหาข้อมูลเกี่ยวกับ Warren Buffette อ่านจะได้ประหยัดตังค์ไปบ้าง
เริ่มจากคุณประภาส ได้เล่าให้ฟังถึงเคล็ดลับของ Warren Buffett ผู้ที่สามารถทำให้เงิน 100,000 เหรียญสหรัฐ เติบโตเป็น 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเวลา 59 ปี โดยที่ไม่ได้ทำธุรกิจใดๆเลย นอกจากลงทุนอย่างเดียว จนกลายเป็น idol ด้านการลงทุนของบุคคลต่างๆทั่วโลก ซึ่งเคล็ดลับเหล่านี้ สรุปได้เป็นหลักการลงทุนที่เรียกว่า Buffettology แบ่งได้เป็น 2 กลยุทธ์หลัก คือ
1.กลยุทธ์การลงทุนทั่วไป
(ก) เลือกธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโต มีอนาคต ยั่งยืน มั่นคง Warren Buffett จะให้ความสำคัญกับการเลือกธุรกิจมาก โดยจะลงทุนเหมือนการร่วมทำธุรกิจ ดังนั้น จะไม่สนใจธุรกิจที่การเติบโตไม่มั่นคง เช่น อาจเติบโตเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น
(ข) ราคาสมเหตุสมผล เพื่อให้มี Margin of safety สูง (“Margin of Safety” – the price at which a share investment can be bought with minimal downside risk. หรือถ้าแปลเป็นภาษาไทยแบบตรงตัว ก็ได้ใจความว่า “ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย = ราคาหุ้นที่สามารถเข้าซื้อได้โดยมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เช่น การลงทุนด้วยการพิจารณาที่มูลค่าที่แท้จริงของกิจการว่ามีค่าเป็นเท่าไรต่อหุ้น หากเราสามารถซื้อหุ้นนั้นได้ถูกกว่าค่านี้ ก็หมายถึงว่าสามารถซื้อได้ในราคาที่มีส่วนลด และเขาเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว ราคาของหุ้นจะต้องปรับไปสู่ราคาที่เหมาะสมของมันเสมอ และผู้ลงทุนก็สามารถขายหุ้นนั้นออกไปในราคาที่มีกำไรจากส่วนต่าง)
(ค) ลงทุนระยะยาว คือ ลงทุนมากกว่า 10 ปี
ด้วยการลงทุนแบบนี้ ทำให้ Warren Buffett สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้เฉลี่ย 20%/ปี
2.กลยุทธ์แบบฉวยโอกาส ที่คุณประภาส เรียกว่า “Event Driven” คือการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนให้ Warren Buffett มากกว่า 30% โดยมีเงื่อนไขในการลงทุน คือ ลงทุนในธุรกิจที่ดี มีอนาคต แต่อยู่ในช่วงวิกฤติ และราคาหุ้นตกอย่างแรง การจะทำอย่างนี้ได้ Warren Buffett จะทำการวิเคราะห์หาธุรกิจเป้าหมาย เฝ้ารอจังหวะ เตรียมพร้อมไว้เสมอ เมื่อสถานการณ์เข้าเงื่อนไข ก็จะลงทุนแบบจัดเต็ม คือลงทุนเต็มที่ในหลายกิจการ คือเข้า takeover กิจการเลยก็มี
แม้จะเน้นถือยาว แต่คุณประภาส ก็เตือนว่าลงทุนระยะยาวได้ แต่ต้องคอยตามดูบริษัทอย่างต่อเนื่องด้วย ถ้ามีปัจจัยที่กระทบต่อการทำธุรกิจก็ต้องวิเคราะห์ให้ดีว่าควรถือต่อหรือไม่
ถัดมา ก็ถึงคิว Warren Buffett เมืองไทย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้สามารถสร้างพอร์ตการลงทุนกว่าพันล้านบาท จากเงินลงทุนเริ่มต้น 10 ล้านบาทในเวลา 16 ปี ดร.นิเวศน์ ให้แนวคิดว่า คนที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ ต้องมีแก้ววิเศษ 3 ประการ
(ก) มีเงินต้นสำหรับการลงทุนเยอะ ข้อนี้เห็นด้วยอย่างยิ่งโดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นตกอย่างนี้ หุ้นดีๆหลายตัว ราคาได้ตกลงมาจนน่าลงทุนแล้ว แต่กลับไม่มีเงินสดเหลือลงทุน (เพราะติดหุ้นที่ซื้อตอนแพงไปหมดก่อนแล้ว)
(ข) มีฝีมือ คือ มีความรู้ด้านการลงทุน การวิเคราะห์คัดเลือกธุรกิจที่ดี ประเมินมูลค่าของธุรกิจได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ โดยหุ้นที่ ดร. นิเวศน์ ลงทุนจะต้องเป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต มั่นคง และต้องเป็นเป็นผู้ชนะ (The winner) ในธุรกิจนั้นๆ ที่สำคัญต้องทิ้งคู่แข่งเบอร์ 2 แบบไม่เห็นฝุ่น
(ค) ให้เวลาลงทุนนานๆ ทั้งในการเลือกหุ้นที่จะลงทุน และเน้นลงทุนระยะยาว ดร.นิเวศน์บอกว่า “ผมชอบกระดิกเท้า ไม่ชอบกระดิกมือ” นัยว่าปัจจัยที่ทำให้พอร์ตเป็น 10 หลักได้คือไม่เทรดบ่อย เพราะเมื่อเลือกหุ้นที่่ชัวร์แล้วก็ซื้อแล้วถือยาวๆ
เมื่อพูดถึงปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จแล้ว ก็มาถึงปัจจัยที่ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จทางการลงทุนกันบ้าง
คุณประภาสสรุปสั้นๆ ถึงปัจจัยที่ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จทางการลงทุนเพียงประโยคเดียว คือ “ไม่เคยเจ็บจนเจ๊ง” คุณหล่ะ ผ่านหลักสูตรแรก “เจ็บจนเจ๊ง” รึยัง