HoonSmart.com>>ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เพิ่มบทบาท ขยายฐานลูกค้า ช่วยเอสเอ็มอีโตไปด้วยกัน สนับสนุนสินเชื่อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจหมุนเวียน อุตสาหกรรมดาวเด่น S Curve มองเห็นโอกาสของประเทศไทยในการส่งออก คาดปลายปีได้ใบอนุญาตเปิดสำนักงานเวียดนาม ครอบคลุม CLMV ผลงานปีนี้ คาดสินเชื่อโต 5-6% ปีหน้าขยายตัว 6-7%
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ธนาคารได้มีการปรับตัวมาระยะหนึ่ง เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและคาดไม่ถึงอยู่เสมอ จากเดิมมีบทบาทดูแลลูกค้ารายใหญ่และขนาดกลางเท่านั้น ปัจจุบันได้ขยายไปสู่ลูกค้าเอสเอ็มอีมากขึ้น พร้อมจะสนับสนุนโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและสมดุล รวมถึงอุตสาหกรรมดาวเด่น S Curve
” เรามีความพร้อมในการทำหน้าที่ช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูธุรกิจส่งออก ควบคู่กับการส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ พร้อมตั้งเป้าที่จะเพิ่มสินเชื่อ SME มากกว่านี้ แต่ธนาคารจะต้องมีทุนมากขึ้น และยังคงเดินหน้าปรับเปลี่ยนบทบาทองค์กรไปสู่วิถีชีวิตใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย”นายพิศิษฐ์กล่าวว่า
กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า มองเห็นโอกาสของผู้ส่งออกไทยไปยังตลาดใหม่ (New Frontiers) ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อยกว่า ทั้งนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF)คาดว่าจะมี 60 ประเทศจาก 195 ประเทศ หรือเพียง 1 ใน 3 ของทั้งหมด ที่ GDP ในปี 2564 สูงกว่าหรือเท่ากับปี 2562 สะท้อนถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคและความต้องการนำเข้าสินค้ามีแนวโน้มกลับสู่ภาวะปกติ แม้ว่าปีนี้การค้าทั่วโลกจะยังคงโตติดลบ เศรษฐกิจไทยจะหดตัว 7-8% และการส่งออกติดลบ 7% แต่ปีหน้าจะดีขึ้น หวังว่าเศรษฐกิจไทยจะดีดกลับมาโต 3-4% และส่งออกขยายตัว 4% โดยภูมิภาคที่จะเติบโตคือ ตลาดเพื่อนบ้านเป็นหลัก คาด 5 ปีข้างหน้าจะโตเกือบเท่าตัว สินค้าที่เป็นจุดแข็งคือพืชผลเกษตร ผลไม้ ในการส่งออกไป จีน เวียดนาม และมาเลเซีย เป็นต้น นอกจากนั้นยังหวังว่าจะขยายตลาดไป โปแลนด์ เคนย่า และอียิปต์ ทั้งการส่งออกผลไม้ น้ำตาล เม็ดพลาสติก คาดว่าน่าจะเติบโตได้อีกในปี 2564
อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกจะต้องปรับตัวให้ได้ในโลกธุรกิจที่ปรับโฉมใหม่หลังโควิด-19 โดยธนาคารจะสนับสนุนให้ตรงจุด พยายามทำทั้ง 3 บทบาท คือ 1. ช่วยเหลือใส่เงินให้กับกลุ่มที่มั่นใจว่าจะฟื้นตัวได้ 2.กลุ่มที่ต้องการช่วยเหลือ เช่น ยืดการชำระหนี้ หรือขอเงินเสริมสภาพคล่อง เพื่อไปต่อได้ แต่ธนาคารจะต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง และ 3.กลุ่มที่รอการฟื้นตัว ต้องรอเวลานาน 1-2 ปี
สำหรับในระยะยาว EXIM BANK สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาสินค้าให้มีนวัตกรรมและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น พร้อมปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาทิ การพัฒนาโลจิสติกส์และบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะกับการค้าแบบ e-Commerce การผลิตสินค้าตอบรับกระแสความนิยมใหม่ ๆ และการนำระบบอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในภาคการผลิต การบริการ และการเงิน รวมทั้งการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน แข่งขันในตลาดโลกได้ในระยะยาว
ส่วนผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่ายอดสินเชื่อคงค้างจะเติบโต 5-6% คิดเป็นวงเงิน 6,000-7,000 ล้านบาท จากยอดสินเชื่อคงค้าง 130,000 ล้านบาท และคาดว่าจะขาดทุนสุทธิประมาณ 1,000 ล้านบาท เนื่องจากมีการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติม ตามหลักเกณฑ์มาตรฐานบัญชีใหม่ (IFRS9) ถึง 6,000 กว่าล้านบาท ส่วนการเปิดสำนักงานตัวแทนในต่างประเทศ คาดว่าสิ้นปีนี้จะได้รับใบอนุญาต ตั้งสำนักงานตัวแทนที่โฮจิมินท์ เวียดนาม ทำให้ธนาคารมีสำนักงานครอบคลุมกลุ่ม CLMV ซึ่งประกอบด้วย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม เพื่อสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคของธนาคาร สำหรับแนวโน้มในปี 2564 คาดว่าสินเชื่อจะเติบโต 6-7%