AP กำไร 1.2 พันลบ. โต 149% รายได้ “ทาวเฮ้าส์-บ้านเดี่ยว” ทุบสถิติสูงสุด

HoonSmart.com>> “เอพี” โชว์ผลงานไตรมาส 2/63 กำไร 1,215 ล้านบาท โต 149% กวาดรายได้ 7,792 ล้านบาท เพิ่ม 64% “ทาวเฮ้าส์-บ้าน” ทุบสถิติยอดขายแข็งแกร่ง

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) หรือ AP เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 กำไรสุทธิ 1,215.45 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.386 บาท เพิ่มขึ้น 149.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 488.25 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.155 บาท

ส่วนงวด 6 เดือน ปี 2563 กำไรสุทธิ 1,833.91 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.583 บาท เพิ่มขึ้น 17.1% จากงวดเดียวกัน 1,566.37 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.498 บาท

บริษัทฯ มีรายได้ในงวดไตรมาส 2/2563 จำนวน 7,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.6% จากงวดปีก่อน โดยเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 7,583 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.4% จากปีก่อนและรายได้ค่าบริการและค่าบริหารจัดการอีก 209 ล้านบาท ลดลง 9.9% จากปีก่อน รายได้สะสม 13,191 ล้านบาท เติบโต 5.1% จากปีก่อน

รายได้จากสินค้าแนวราบเติบโตทำสถิติสูงสุดในไตรมาส 2/2563 จากยอดขายแข็งแกร่งและยอดขายรอรับรู้รายได้ที่มีคุณภาพ รายได้จากสินค้าแนวราบสูงถึง 6,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 107.9% จากปีก่อน เป็นสัดส่วนรายได้ใกล้เคียงกันระหว่างทาวเฮ้าส์และบ้านเดี่ยว ส่วน 6 เดือนอยู่ที่ 11,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.7% จากปีก่อน

ส่วนคอนโดมิเนียมไตรมาสที่ผ่านมาไม่มีโครงการใหม่ที่เริ่มเปิดโอนกรรมสิทธิ์ โดยมีรายได้จากโครงการเดิมเพิ่มขึ้น 12.1% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 13.6% จากปีก่อน ส่งผลให้ 6 เดือนแรกอยู่ที่ 1,610 ล้านบาท ลดลง 35.7% จากปีก่อน โดยเหตุผลหลักเนื่องมาจากมูลค่าคอนโดมิเดนียมเหลือขาย ณ ต้นปี 2562 สูงกว่าปีนี้เกือบเท่าตัว

นอกจากนี้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29.6% ลดลง 3.7% จากงวดปีก่อน ผลจากการให้โปรโมชั่นส่งเสริมการขาย โดยครึ่งปีสามารถรักษาระดับ 31.6% ลดลง 1.4% จากปีก่อน อีกทั้งมีรายได้จากโครงการร่วมทุนซึ่งทำรายได้สูงสุด 5,347 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 290% จากปีก่อน ในทิศทางเดียวกันส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าพุ่งสูงสุดที่ 664 ล้านบาท เพิ่ม 297% จากปีก่อน

ภมร ประเสริฐสรรค์

นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า ท่ามกลางสภาวะวิกฤตบริษัทฯ ยังสามารถสร้างสถิติการเติบโตทางด้านรายได้ครั้งใหม่ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยในครึ่งปีแรกบริษัทฯ มีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบและกลุ่มคอนโดฯ (100% JV) มากถึง 19,960 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิ (Net Profit) 2 ไตรมาสแรกสูงถึง 1,830 ล้านบาท หากดูในส่วนของรายได้รวม (100% JV) เฉพาะไตรมาส 2 ที่ 13,140 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ แต่บริษัทฯ ยังคงดำเนินการขายและโอนกรรมสิทธิ์โครงการได้เกินจากที่คาดการณ์ไว้ สะท้อนได้ถึงความมั่นใจของผู้บริโภค ตลอดจนกำลังซื้อที่ยังคงมีอยู่ และเชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะค่อยปรับตัวที่ดีขึ้น

“วันนี้คงต้องยอมรับว่าสินค้าแนวราบได้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งปีไปแล้ว อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายของสินค้าก็อายุน้อยลง โดยในส่วนของสินค้าทาวน์โฮมจากการเฝ้าสังเกตเทรนด์การอยู่อาศัยและการตัดสินใจซื้อพบว่าลูกค้าที่ซื้อและโอนฯ ทาวน์โฮมอายุน้อยลง โดยกว่า 40% เป็นกลุ่มลูกค้าที่อายุ 26-30 ปี ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำภาพผู้นำตลาดทาวน์โฮมในเมืองอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงเดินหน้าตามแผนพลิกโฉมการอยู่อาศัยในทาวน์โฮมใหม่ ภายใต้ THE LONGEVITY MATRIX แนวคิดเพื่อสร้างพื้นที่ชีวิตที่เหนือกว่าทาวน์เฮ้าส์แบบเดิมๆ ด้วยการเชื่อมต่อสุนทรียะการอยู่อาศัยเข้ากับการออกแบบสเปซใน 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ 1. การพัฒนาส่วนกลางสำหรับคนทุกวัย 2. การสร้างพื้นที่อยู่อาศัยที่ให้ความเป็นส่วนตัวและคุ้มค่า และ 3. การสร้างสังคมแห่งการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ซึ่งทั้งหมดจะสะท้อนผ่านทาวน์โฮมแบรนด์ บ้านกลางเมือง และพลีโน่ ในมิติที่แตกต่างกันตามโพสิชันของแบรนด์ กับ 13 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 15,350 ล้านบาท” นายภมร กล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ จากยอดขาย 7 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายรวมแล้วกว่า 18,175 ล้านบาท คิดเป็น 55% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ (เป้ายอดขายรวม 33,500 ล้านบาท) โดย 15,540 ล้านบาทเป็นยอดขายที่เกิดขึ้นจากสินค้าแนวราบ โตขึ้น 11% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และคิดเป็น 70% ของเป้ายอดขายแนวราบทั้งปีที่ 22,500 ล้านบาท ซึ่งยอดขายสินค้าแนวราบทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาจากโครงการที่อยู่ระหว่างการขายกว่า 85 โครงการ มูลค่าคงเหลือขาย 46,750 ล้านบาท (รวมโครงการแนวราบที่เปิดตัวใหม่ในครึ่งปีแรก 14 โครงการ มูลค่า 15,475 ล้านบาท) เอพีมั่นใจว่าภาพรวมตลาดแนวราบ โดยเฉพาะโครงการทาวน์โฮมในเครือเอพียังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากเซนติเมนต์ลูกค้าเยี่ยมชม ยอดจองและโอนทาวน์โฮมเครือเอพีเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ (เฉลี่ยยอดขายแนวราบ/ สัปดาห์ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท) ตั้งแต่ในช่วงหลังการคลายล็อกดาวน์