“ATP30” มั่นใจปีนี้รายได้โต 20% แตกไลน์รับส่งนักท่องเที่ยว

ATP30 เดินสายหาลูกค้าใหม่ ดันรายได้ปีนี้โต 20% พร้อมแตกไลน์รับ-ส่งนักท่องเที่ยว

นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการบริษัท เอทีพี 30 (ATP30) ผู้ให้บริการรถรับส่งพนักงานในนิคมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญากับลูกค้าใหม่ 2 รายและจะรับรู้รายได้ค่าบริการไตรมาส 3 ปีนี้ โดยรายแรกมีสัญญา 5 ปี เริ่มให้บริการและรับรู้รายได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้ ส่วนรายที่สองมีสัญญา 4 ปี เริ่มให้บริการและรับรู้รายได้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้ ล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าใหม่ 10 ราย และเป็นไปได้สูงที่จะได้สัญญาจากลูกค้ารายใหญ่ 2 ราย

“เราเสนอราคาไปแล้ว และหากลูกค้ารายใหญ่ทั้ง 2 รายตกลงว่าจ้างเรา ก็คาดว่าน่าจะเซ็นสัญญากันได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้”นายปิยะกล่าว

นายปิยะ ยังระบุว่า หลังจากบริษัททดลองนำรถบัส 10 คัน ไปให้บริการรับส่งนักท่องเที่ยวในเส้นทางกรุงเทพ-ระยอง และกรุงเทพ-พัทยา พบว่ากระแสตอบรับดีมาก ดังนั้น บริษัทมีแผนนำรถบัส 10 คัน ออกให้บริการนักท่องเที่ยวจีนที่จะมาท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นหรือในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งจะเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทอีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะการให้บริการแก่นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง แต่เนื่องจากเป็นช่วงทดลองบริษัทจึงไม่คาดหวังรายได้จากส่วนนี้มากนัก

นอกจากนี้ บริษัทได้รับข้อเสนอจากบริษัท ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ (RP) ให้นำรถบัสไปให้บริการนักท่องเที่ยวของ RP โดยมีสัญญา 2 ปี โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจารายละเอียด และหากได้รับการว่างจ้างบริษัทจะต้องจัดหารถบัสขนาดใหญ่สำหรับวิ่งให้บริการในเส้นทางนี้ 4 คัน

สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทมีแผนจัดหารถใหม่เพื่อให้บริการลูกค้าเพิ่มอีก 30 คัน แบ่งเป็น รถบัส 10 คัน รถมินิบัส 10 คัน และรถตู้ 10 คัน คิดเงินลงทุน 83 ล้านบาท โดยบริษัทสามารถกู้ได้ทั้ง 100% และมีภาระดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.8% ต่อปี และหากบริษัทได้สัญญาว่าจ้างจากลูกค้ารายใหญ่ 2 รายที่อยู่ระหว่างเจรจา บริษัทมีแผนจัดหารถบัสเพิ่มอีกอย่างน้อย 50 คันหรือคิดเป็นเงินลงทุน ประมาณ 150 ล้านบาท

“เงินลงทุนไม่ใช่ปัญหา เราสามารถกู้จากไฟแนนซ์ได้ 100% โดยใช้รถเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน และบริษัทยังมีใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนท์) ที่ทยอยใช้สิทธิได้ถึงกลางปีหน้าอีก 105 ล้านบาท ทั้งนี้ รถใหม่ที่จัดหามานั้นจะไม่สร้างภาระให้บริษัท เนื่องจากรายได้ค่าเช่าที่บริษัทได้รับจากลูกค้าจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายทางบัญชี เช่น ค่าผ่อนรถรายเดือน ค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง รายจ่ายพนักงาน ค่าดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคา เป็นต้น โดยจะรับรู้รายได้เต็มที่หลังจากปีที่ 5 ไปแล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่รถไม่มีภาระค่าผ่อนและดอกเบี้ย”นายปิยะกล่าว

นายปิยะ กล่าวว่า ในส่วนผลประกอบการไตรมาส 2 คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกปีนี้ ส่วนกำไรน่าจะได้รับผลกระทบบ้างจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยทั้งปีมั่นใจว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 348 ล้านบาท หรือมีรายได้แตะ 400 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 10% โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกปีนี้มีรถที่ไม่มีภาระค่าเสื่อม 17 คัน และจะเพิ่มเป็น 37 คันในช่วงสิ้นปี ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีรถบัส รถมินิบัส รถตู้ และรถร่วม รวมทั้งสิ้น 334 คัน

ขณะเดียวกัน บริษัทได้วางแผนบริหารการซ่อมบำรุงรถที่ครบอายุการซ่อมแซมในระยะ 7-8 ปี เพื่อไม่ให้เกิดปัญหารถขาดและค่าซ่อมกระจุกตัวเช่นเดียวกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว พร้อมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงไม่ให้เกิน 3 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสามารถทำได้ เนื่องจากรถที่วิ่งรับส่งพนักงานในนิคมฯ มีระยะการวิ่งไม่มากนักเมื่อเทียบกับรถโดยสารทั่วไป ส่วนรถที่มีอายุ 13-15 ปีบริษัทจะตัดขายออกทั้งหมดเพื่อลดภาระการซ่อมบำรุง

นายปิยะ กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายและอุตสาหกรรมไฮเทค จะทำให้บริษัทมีฐานลูกค้ามากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีลูกค้า 33 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และมีลูกค้าที่ใช้บริการรถรับส่งพนักงานของผู้ประกอบการท้องถิ่น ซึ่งมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนมาใช้บริการรถรับส่งพนักงานของ ATP30 ประมาณ 350 ราย ทั้งนี้ บริษัทจะทยอยเจรจากับลูกค้าที่หมดสัญญากับผู้ให้บริการเจ้าเดิม เพื่อให้เปลี่ยนมาใช้รถรับส่งพนักงานของ ATP30 ซึ่งเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพ ปลอดภัยและตรงต่อเวลา