ดาวโจนส์ปิดดิ่งกว่า 2,300 จุด เฟดอัดฉีดเงิน

HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดดิ่ง 2,300 จุด กว่า 10% ระหว่างวันพักการซื้อขายเบรกหุ้นดิ่งแรง ด้านเฟดอัดฉีดเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์เสริมสภาพคล่อง ด้านตลาดหุ้นยุโรปร่วงมากกว่า 10% ราคาน้ำมันดิบลงต่อ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดตลาดวันที่ 12 มีนาคม 2563 ที่ 21,200.62 จุด ลดลง 2,352.60 จุด หรือ 9.99%

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,480.64 จุด ลดลง 260.74 จุด, -9.51%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,201.80 จุด ลดลง 750.25 จุด, -9.43%

เมื่อเปิดการซื้อขายทั้งสามดัชนีร่วงลงอย่างแรงถึง 7% จนทำให้ต้องใช้ circuit Breaker พักการซื้อขาย 15 นาที และเป็นการใช้ Circuit Breaker ครั้งที่สอง ในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตามหลังจากกลับมาซื้อขายอีกครั้ง ตลาดยังคงปรับตัวลดลง ทำให้เข้าสู่ภาวะตลาดขาลงชัดเจน

การร่วงลงของตลาดนับว่าหนักมากกว่าที่ลดลงในปี 2008 ที่เกิดวิกฤติการเงิน และแย่กว่าเหตุการณ์ 911 ปี 1993 อีกทั้งดัชนี DJIA ที่ลดลง 10% ดัชนี S&P 500 ที่ลดลง 9.5% ถือว่าเป็นการลดลงหนักที่สุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคมปี 1987 ที่เกิดเหตุการณ์แบล็คมันเดย์ที่ดัชนี DJIA ลดลงถึง 22.6%

ตลาดร่วงหนักหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศห้ามชาวยุโรปการเดินทางเข้าสหรัฐ เป็นเวลา 30 วันเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัส รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกต่อการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่มากขึ้น

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาที่ระดับ 0.86% ขณะที่ธนาคารกลาง(เฟด) ออกแถลงการณ์ประกาศอัดฉีดเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์เข้าตลาดเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องระยะสั้น รวมทั้งซื้อพันธบัตรเพิ่มเติม โดยให้เหตุผลว่า การที่ปรับเปลี่ยนแนวนโยบายเพราะมีเหตุการณ์ไม่ปกติในตลาดพันธบัตร

นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 17-18 มีนาคมนี้ ขณะที่ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า มีความเป็นได้ 55.7% ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1.00% แต่นักวิเคราะห์มองว่าแม้เฟดจะลดดอกเบี้ย จะไม่ได้ช่วยอะไรมาก เนื่องจากไม่ใช่วิกฤติการเงินแต่เป็นวิกฤติด้านสาธารณสุข

กระทรวงแรงงานเผย ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI)เดือนกุมภาพันธ์ลดลง 0.6% ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2015 ส่วนการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ก่อนลดลง 4,000 ราย มาที่ระดับ 211,000 ราย ต่ำกว่า 218,000 รายที่นักวิเคราะห์คาด

หุ้นกลุ่มสายการบินลดลง โดยหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ลดลง 17.28% หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ลดลง 24.8% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ลดลง 21.04% หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ส ลดลง15.07%

หุ้นกลุ่มพลังงานลดลง โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 11.4% หุ้นเชฟรอน ลดลง 8.23%

ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลง นำโดยกลุ่มเดินทางและสันทนาการลดลงถึง 12.8% หลังการประกาศห้ามชาวยุโรปการเดินทางเข้าสหรัฐ เป็นเวลา 30 วัน ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่นักลงทุนผิดหวังที่ธนาคารกลางสหภาพยุโรปไม่ได้ลดดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ แต่ประกาศมาตรการสนับสนุนช่วยการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์และขยายมาตรการ QE อีก 120 พันล้านยูโร

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,237.48 จุด ลดลง 639.04 จุด, -10.87%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 294.93 จุด ลดลง 38.24 จุด, -11.48%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,044.26 จุด ลดลง 565.98 จุด, -12.28%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,161.13 จุด ลดลง 1,277.55 จุด, -12.24%

หุ้น Dufry ลดลง 41% หุ้นทุลโลว์ ออยล์ลดลง 31% หุ้น

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนเมษายนลดลง 1.48 ดอลลาร์ หรือ 4.5% ปิดที่ 31.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมลดลง 2.57 ดอลลาร์ หรือ 7.2% ปิดที่ 33.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

อ่านข่าว

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ดิ่งกว่า 7% หลังสหรัฐฯ ห้ามเดินทางเข้าจากยุโรป 30 วัน