HoonSmart.com>> ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง “NTF” บริษัทส่งออกผลไม้สด เกรดพรีเมี่ยมรายแรก เข้าตลาด mai ไอพีโอ 60 ล้านหุ้น ระดมทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ ขยายและพัฒนาการผลิตสินค้า เพิ่มศักยภาพการส่งออก โชว์ผลงานเติบโตก้าวกระโดด ครึ่งปี 68 กวาดรายได้ 1,661 ล้านบาท กำไรสุทธิ 166 ล้านบาท ทางด้านการซื้อขายหุ้นน้องใหม่ mai เริ่มตั้งหลักได้ 88TH ปิดที่ 6.70 บาท บวก 1,52% SKIN ปิดที่ 2.10 บาท เพิ่มขึ้น 5.00%

นางรัชดา เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (NTF) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เริ่มนับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ของ NTF เรียบร้อยแล้ว
ปัจจุบัน NTF มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท หรือ 200 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ทุนชำระแล้ว 70 ล้านบาท หรือ 140.0 ล้านหุ้น และจะเสนอขาย IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น หรือ 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดภายหลัง IPO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai)
สำหรับ NTF ดำเนินธุรกิจส่งออกผลไม้สดรายแรก ที่เข้าตลาดเอ็ม เอ ไอ วัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้ลงทุนเครื่องจักรใช้ในกระบวนการคัดบรรจุทุเรียนสดที่เป็นสินค้าส่งออกหลัก , ชำระคืนสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียน
ผลดำเนินงานย้อนหลัง 2565-2567 และงวด 6 เดือนแรก/ 2568 มีรายได้ ขายเท่ากับ 347 ล้านบาท 563 ล้านบาท 1,115 ล้านบาท และ 1,661 ล้านบาท ตามลำดับ และกำไรสุทธิ 8 ล้านบาท 23 ล้านบาท 64 ล้านบาท และ 166 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 2.3% 4.0% 5.7% และ 9.9% ตามลำดับ

นายวิชัย ศิระมานะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NTF กล่าวว่า NTF เป็นผู้ส่งออกผลไม้เกรดพรีเมียมชั้นนำ ไม่ได้เป็นล้ง (โรงคัดบรรจุ) แต่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรที่เป็นล้ง ด้วยการเข้าไปมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบและคัดเลือกสินค้าคุณภาพในทุกขั้นตอนการผลิต การสร้างแบรนด์ และการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ ภายใต้มาตรฐานการทำงาน “NTF Standard” หรือ “2Q2T” (Quality – Quantity – Time – Temperature) เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถจัดหาผลไม้สดได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ
สินค้าหลักของ NTF ได้แก่ ทุเรียนสด คิดเป็นรายได้มากกว่า 90% ของรายได้รวมปี 2567–2568 และยังขยายไลน์สินค้าไปยังผลไม้ที่มีศักยภาพสูงอื่น ๆ เช่น ลำไย มะพร้าว ทุเรียนแช่แข็ง ทุเรียนแกะเนื้อ และผลไม้สดหลากหลายชนิดที่หมุนเวียนจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ รายได้เกือบทั้งหมดมาจากการส่งออก โดยมีประเทศจีนเป็นตลาดหลัก จากความต้องการบริโภคผลไม้ไทยของผู้บริโภคชาวจีนที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทุเรียนซึ่งครองตำแหน่งสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ NTF ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมของผู้บริโภคในตลาดจีน
NTF ทำการตลาดภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ได้แก่ เหม่ย ลี่ (Mei Li), ไท่ จี๋้ (Tai Ji), จิน เยี่ยน (Jin Yan), ไท่ ถิง ห่าว (Tai Ting Hao), โมมันไท่ (Mo Man Tai) และ มินิ (Mini) รวมทั้งมีแบรนด์ที่พัฒนาร่วมกับลูกค้า ได้แก่ ไท่ จี๋ (Tai Ji), จิน เยี่ยน (Jin Yan) และแบรนด์ของลูกค้าที่เป็นแบรนด์ระดับสากล โดยบริษัทส่งจำหน่ายสินค้าไปให้กลุ่มลูกค้าหลัก คือ ผู้ค้าส่งผลไม้ในตลาดเจียซิง (Jiaxing Market) ตลาดเจียงหนาน (Jiangnan Fruit Market) และตลาดเจิ้งโจว (Zhengzhou) ตลาดขายส่งกระจายสินค้าของ NTF ได้ทั่วประเทศ
ปี 2568 บริษัทเริ่มขยายตลาดไปฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา เพื่อขยายฐานลูกค้า ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงลูกค้าจีน รวมถึงมีแผนที่จะขยายไปยังกลุ่มลูกค้าจีนทางตอนบนของประเทศเพิ่มขึ้น รองรับความต้องการของลูกค้าในเขตกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางตลาดค้าผลไม้ของภาคเหนือ เป็นต้น
“ การกินทุเรียนเฉลี่ยต่อหัวของคนจีน ประมาณ 1 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งต่ำกว่าคนไทยที่กินทุเรียนเฉลี่ยคนละ 4-5 กิโลกรัมต่อปี และคนมาเลเซีย กินทุเรียนเฉลี่ย 13 กิโลกรัมต่อปี จึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่จะสามารถขายสินค้าให้ผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อได้ในระยะยาว ซึ่งสินค้าของ NTF เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ แต่ปัจจุบันการผลิตของเราไม่เพียงพอต่อดีมานด์ที่มีอยู่ การระดมทุนจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินที่จะเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้าได้มากขึ้น นำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการผลิต ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้อย่างดี” นายวิชัย กล่าว

นายอิศรา ภูววิเชียรฉาย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ “NTF” กล่าวเสริมว่า บริษัทเริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการผลิต ได้แก่ เครื่องจักรกระบวนการเป่าแห้งทุเรียน และเครื่องจักรกระบวนการคัดแยกน้ำหนักและบรรจุสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มความแม่นยำ และลดต้นทุนการผลิต ช่วยร่นระยะเวลาทำงานได้มากกว่า 50% อันจะส่งผลให้สามารถคัดบรรจุสินค้าได้เพิ่ม และสามารถควบคุมคุณภาพมาตรฐานได้มากยิ่งขึ้น ตรงตามความต้องการผู้บริโภค อนาคตมีแผนนำเทคโนยีที่ใช้ในการผลิตเข้ามาเพิ่มเติม รวมไปถึงเทคโนโลยีในด้านอื่น ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมคุณภาพของผลไม้ ตั้งแต่การเพาะปลูกของเกษตรกร การดูแลผลผลิต ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว ก่อนส่งต่อมาที่โรงคัดบรรจุเพื่อจัดการสินค้าและจำหน่ายต่อไป
สำหรับการซื้อขายหุ้นน้องใหม่ mai วันที่ 8 ต.ค. 2568 ราคาเริ่มตั้งหลักได้ 88TH เด้งขึ้น สูงสุดแตะ 7.15 บาท ปิดที่ 6.70 บาท บวก 0.10 บาทหรือ +1.52% ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 255.76 ล้านบาท และ SKIN ปิดที่ 2.10 บาท บวก 0.10 บาทหรือ +5.00% จากที่ขึ้นไปสูงสุดแตะ 2.22 บาท
อย่างไรก็ตาม หุ้นน้องใหม่ SET ล่าสุด ONSENS ไหลลงต่อเนื่อง ต่ำสุดถึง 1.80 บาท ก่อนฟื้นมาปิดที่ 1.82 บาท ร่วงลง 0.22 บาทหรือ -10.78% มูลค่าซื้อขาย 108 ล้านบาท ขณะที่ตลาดหุ้นโดยรวมปิดที่ 1,304.92 จุด ลดลง 0.32 จุด พลิกจากระหว่างวันวิ่งขึ้นสูงสุดแตะระดับ 1,314.07 จุด
