HoonSmart.com>>”ไทยยูเนี่ยนฯ” (TU) นำทัพขับเคลื่อนความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ผสานความร่วมมือผ่านกลไก Blue Finance ส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งคาร์บอนต่ำ เผย 19 ฟาร์มเข้าร่วมโครงการ ห้างเมืองนอกต้องการซื้อสูง “อนันต์ฟาร์ม”เผยจุดดีเพียบ เปลี่ยนใช้โซลาร์ ค่าไฟลดเหลือ 4,000 บาท/เดือน ประหยัด 10% ช่วยเพิ่มกำไรถึง 50% ด้าน ADB ให้ความสำคัญเรื่องสังคมด้วย TU เตรียมรีไฟแนนซ์ blue Finance 12,000 ล้านบาท คาดดอกเบี้ยลด 0.1-0.15%ต่อปี
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU หนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลก เดินหน้าขยายโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกระบวนการเลี้ยงกุ้ง (Shrimp Decarbonization Project) ผ่านการผนึกกำลังกับหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร และภาคการเงิน มีการเสวนาภายในงาน UN Global Compact NetworkThailand หรือ GCNT Expo 2025 บริษัทฯ ได้แสดงวิสัยทัศน์ในการยกระดับความร่วมมือ ทั้งด้านนวัตกรรม และการลงทุน เพื่อขยายความสำเร็จการนำ Blue Finance ซึ่งเป็นกลไกทางการเงินเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของท้องทะเล มาใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในฟาร์มกุ้ง มุ่งสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
งานเสวนาได้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ ‘Blue Financing and Aquaculture: Empowering the Sustainability Transition เจาะลึกโอกาสและกลไกความร่วมมือ เพื่อเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสู่ความยั่งยืน’ โดยผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ สถาบันการเงิน ผู้ประกอบการ และตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ได้ร่วมหารือถึงแนวทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและองค์ความรู้ ตลอดจนการนำนวัตกรรมมาช่วยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งสามารถลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างการเติบโตให้อุตสาหกรรมอาหารทะเลในระยะยาว ประเด็นสำคัญของการเสวนานั้นมุ่งเน้นไปที่โครงการของไทยยูเนี่ยนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการเพาะเลี้ยงกุ้ง โดยบริษัทฯ เล็งเห็นถึงศักยภาพในการขยายแนวทางการเลี้ยงกุ้งแบบคาร์บอนต่ำไปยังฟาร์มทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนองค์กรในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593
นายยงยุทธ เสฏฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารทะเลโลก มีเป้าหมายในการสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมนี้ผ่านหลากหลายพันธกิจ หนึ่งในนั้นคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทย และเชื่อว่า Blue Finance หมายถึงกลไกทางการเงินเพื่อสนับสนุนโครงการที่สร้างความยั่งยืนให้กับท้องทะเล จะเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนการนำองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีมาใช้สร้างความยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม และส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจสีน้ำเงินหรือ Blue Economy
โครงการนำร่องฟาร์มกุ้งคาร์บอนต่ำของไทยยูเนี่ยนเริ่มเผยให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม โดยกุ้งจากโครงการมีวางจำหน่ายแล้วผ่านผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ภายใต้แบรนด์ Chicken of the Sea ภายใต้ความร่วมมือกับ The Nature Conservancy (TNC), Ahold Delhaize USA และ Whole Foods Market ช่วยให้ฟาร์มกุ้งที่เข้าร่วมสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านแนวปฏิบัติที่ทำได้จริงและอ้างอิงอยู่บนหลักวิทยาศาสตร์ เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิต พร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ กุ้งจากโครงการสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตั้งแต่ฟาร์มจนถึงการจัดส่ง ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่ากุ้งที่ตนบริโภคนั้นมาจากแหล่งผลิตที่ยั่งยืน
“ทางธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ให้ Blue Finance แก่ไทยยูเนี่ยนฯ และมีเงินสำหรับการอบรมเกษตรกร ยกระดับมาตรฐานและเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับผลงานที่เราทำมา ได้รับการประเมินผลรอบทิศทาง ทำให้ได้รับเลือกเป็น 1 ของโลกของดัชนี DJSI อย่างต่อเนื่อง 11 ปี ติดต่อกัน”นายยงยุทธกล่าว
สำหรับเป้าหมายจัดหาเงินทุนยั่งยืนสัดส่วน 75% ของเงินกู้ระยะยาว 45,000 ล้านบาท นั้นปัจจุบันทำได้สูงกว่าเป้าหมายแล้ว มีสัดส่วน 78% และภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า มีแผนรีไฟแนนซ์ blue Finance จำนวน 12,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดหาเงินกู้ คาดว่าจะได้ต้นทุนถูกลง 0.1-0.15% ตามแนวโน้มดอกเบี้ย จากอัตราปกติจ่ายประมาณ 2.5%ต่อปี สำหรับเงินกู้อายุ 5 ปี ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2568 คาดว่าจะประกาศวันที่ 5 ส.ค.นี้ ควบคู่กับการเปิดเผยแผนครึ่งปีหลัง
นายภาณุ บุญทรง ผู้จัดการฝ่ายความยั่งยืนส่วนงานเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวว่า ปัจจุบันมีฟาร์มเข้าร่วมโครงการจำนวน 19 ฟาร์ม เลี้ยงกุ้งคาร์บอนต่ำประมาณปีละ 7,000-10,000 ตันต่อปี ซึ่งดูแลตลอดซัพพลายเชน และในอนาคตจะมีการเปลี่ยนอาหารกุ้ง ไม่ได้เปลี่ยนสูตร แต่เปลี่ยนแหล่งที่มา ใช้โปรตีนทางเลือก ที่มีคาร์บอนต่ำกว่าถั่วเหลืองที่ซื้อจากบางประเทศ การจัดการด้านพลังงานใช้โซลาร์และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ปรับปรุงการเลี้ยง การให้อาหารที่แม่นยำขึ้น ช่วยดูแลคุณภาพน้ำ โดยมีเป้าหมายที่จัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ 25-35% สำหรับเกษตรกรที่ไม่สามารถลงทุนติดตั้งโซลาร์ขนาดใหญ่ จะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 3-4 ล้านบาท ก็มีพันธมิตรเสนอลงทุนให้ มีสัญญา 10 ปี จะลดค่าไฟให้ 10% หากนำมาใช้คาดว่าจะใช้เวลาเพียง 3-4 ปี ก็มีรายได้คืนทุนแล้ว
“เรื่องการเลี้ยงกุ้งคาร์บอนต่ำ เป็นเรื่องที่ท้าทาย เมื่อ 15 ปีก่อน กุ้งไทยเป็น TOP ของโลก ผลิตได้ 6 แสนตัน/ปี ตอนนี้ตกมาอยู่อันดับที่ 6-7 คาดว่าโครงการเลี้ยงกุ้งคาร์บอนต่ำ จะทำให้อันดับของไทยดีขึ้น แม้ว่าตลาดกุ้งแข่งขันค่อนข้างรุนแรง เราจะต้องหาจุดยืนในเรื่องสร้างความแตกต่างและคุณภาพ ห้างใหญ่ในต่างประเทศต่องการกุ้งคาร์บอนต่ำ เพื่อนำไปใช้เรื่องความยั่งยืนเช่นเดียวกัน”นายภานุกล่าว
นายพลชาติ เหลืองนฤมิตชัย เจ้าของฟาร์มกุ้ง อนันต์ฟาร์ม ในฐานะตัวแทนเกษตรกร ระบุว่า ก่อนเข้าร่วมโครงการ การเข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยี หรือแหล่งเงินทุนที่จำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีความซับซ้อนและท้าทายเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ได้เข้าร่วมโครงการเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา ได้รับความรู้และประสบการณ์มากมาย รวมทั้งมีความเข้าใจในการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาประยุกต์ใช้ได้ดีขึ้น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ช่วยลดต้นทุนค่าพลังงานลงอย่างมาก จากเดิมจ่ายเดือนละ 40,000 บาท ลดได้ 4,000 บาท คิดเป็น 10% แต่ค่าพลังงานเป็นหนึ่งในต้นทุนสำคัญ และการเลี้ยงกุ้งมีมาร์จิ้นประมาณ 20% การลดค่าไฟลง 10% ช่วยเพิ่มกำไรได้มากถึง 50%
ขณะที่การใช้อาหารกุ้งที่มีคุณภาพและผลิตแบบยั่งยืน ทำให้ใช้อาหารในปริมาณที่น้อยลง และสามารถรักษาคุณภาพน้ำในบ่อได้ดีขึ้น ทั้งหมดนี้ช่วยเปิดโอกาสให้กุ้งของฟาร์มขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ ที่มุ่งเน้นความสำคัญเรื่องความยั่งยืน จึงมีความหวังว่าจะสามารถทำฟาร์มกุ้งที่ดีต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและครอบครัวได้
นางสาวฝนทิพย์ ยุทธเสรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน (ที่ปรึกษา) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) กล่าวว่า Blue Finance มีศักยภาพที่จะพลิกโฉมแนวปฏิบัติสำหรับอุตสาหกรรมที่พึ่งพิงทรัพยากรทางทะเล การจัดสรรเงินทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล จะช่วยให้เกษตรกรสามารถพัฒนาแนวทางการดำเนินงานในแบบที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งเกษตรกร ธุรกิจสังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพได้ดียิ่งขึ้น
นางสาวมนทกานติ ท้ามติ้น ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง กล่าวว่า ประเทศไทยมีเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ผ่านความร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการเงิน โดยโครงการที่สอดรับกับนโยบายระดับชาติ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตในฟาร์มเกษตร ล้วนมีบทบาทสำคัญทั้งในแง่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้กับภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ
“แม้เส้นทางสู่ Net Zero จะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้นำอุตสาหกรรม ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การผนึกกำลังจากภาคส่วนต่างๆ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนด้านนวัตกรรมทางการเงิน และแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมนั้น สามารถช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง เราไม่ได้พูดถึงแค่การเปลี่ยนแปลง แต่เรากำลังสร้างระบบนิเวศที่เอื้อให้การเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนนี้เกิดขึ้นได้จริง นี่คือโอกาสที่ประเทศไทยจะก้าวไปเป็นผู้นำ แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร สถาบันการเงิน หน่วยงานกำกับดูแล หรือแม้แต่นักวิจัย เพื่อให้เราสามารถต่อยอดความสำเร็จของโครงการนี้ และขยายผลไปสู่ฟาร์มกุ้งอีกนับร้อยนับพันแห่ง และเป็นต้นแบบที่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกสามารถนำไปปรับใช้ได้” นายยงยุทธ กล่าวทิ้งท้าย
