HoonSmart.com>>บล. โกลเบล็กมอง SET ปี 66 กรอบ 1,616-1,845 แนะนำ 4 หุ้นเด่นตลาดหลักทรัพย์ mai อาทิ SPA, D, CEYE และ AU ส่วน บล.ทรีนีตี้ ให้กรอบดัชนีหุ้น ม.ค. 66 ที่ 1,620-1,700 จุด แนะลงทุนหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศ หุ้นท่องเที่ยว หุ้นปันผล อาทิ GLOBAL, PLANB, SC, STEC, GPSC, JMT, ADVANC, SCC, และ TISCO
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก ให้ความเห็นถึงแนวโน้มทิศทางการลงทุนปี 66 ว่า ทางฝ่ายวิจัยมองกรอบดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ( SET) ในปี 66 ที่ระดับ 1,616 – 1,845 จุด บนสมมติฐานอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 66 เท่ากับ 108.85 เติบโต 8-9% เมื่อเทียบกับปี 65 พร้อมทั้งมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ปรับลดระดับความรุนแรงเป็นโรคประจำถิ่น ประกอบกับตัวเลขเงินเฟ้อเริ่มทยอยชะลอตัวเข้าสู่ระดับปกติ
ฝ่ายวิจัยยังมองปัจจัยบวกที่จะเกิดขึ้นในปี 66 อาทิ กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัว 3.7% ในไตรมาส 4/65 สูงกว่าระดับ 2.7% ที่เปิดเผยก่อนหน้านี้ ขณะที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯในเดือน ธ.ค.65 ดีดตัวขึ้นและสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้บริโภคคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯมากขึ้น
นอกจากนี้ ประเทศจีนมีมาตรการยกเลิกกักตัวผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ โดยมีผลตั้งแต่ 8 ม.ค. 66 หลังบังคับใช้มานาน 3 ปี รวมทั้งการที่จีนผ่อนคลายมาตรการจัดการเกี่ยวกับโควิด-19 สู่ระดับ Category B จากระดับ Category A ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันขั้นสูงสุด ขณะที่เกาะฮ่องกงประกาศเปิดพรมแดนที่ติดกับจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเต็มรูปแบบก่อนกลางเดือนม.ค. 66
จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในปี 66 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปี 65 ที่มีแนวโน้มใกล้เคียง 11.5 ล้านคน เมื่อรวมกับการท่องเที่ยวในประเทศ 175 ล้านคนต่อครั้ง จะทำให้มีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท นับเป็นครึ่งหนึ่งของมูลค่ารวมในปี 62
สำหรับปัจจัยในประเทศที่ต้องจับตา อาทิ การประชุมคณะกรรมการ กนง.เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 6 ครั้ง ในเดือนม.ค., มี.ค., พ.ค., ส.ค., ก.ย. และพ.ย. นอกจากนี้ ยังแนะให้จับตาประเด็นการเมือง กรณียุบหรือไม่ยุบสภา รวมไปถึงการเลือกตั้งในประเทศ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แม้ระดับความรุนแรงจะคลี่คลายแต่ก็ยังคงต้องให้ความระวัง
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องจับตา อาทิ การกำหนดการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 8 ครั้ง ในเดือนม.ค., มี.ค., พ.ค., มิ.ย., ก.ค., ก.ย., ต.ค. และ ธ.ค. รวมถึงตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ กลุ่มประเทศยุโรป และจีน ส่วนปัจจัยลบนั้นมีการคาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจจะเริ่มต้นเกิดขึ้นประมาณต้นปี 66 ซึ่งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีวาระคุกรุ่นหลายคู่ ทั้งยูเครน-รัสเซีย สหรัฐฯ-จีน จีน-ไต้หวัน ที่อยู่ในระดับความเสี่ยงที่สูง ขณะที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้กลับสู่ระดับเป้าหมาย โดยคาดว่าที่ประชุม กนง.มีโอกาสทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2-3 ครั้ง จากระดับ 1.25% ณ ปลายปี 65 สู่ระดับ 1.75% ถึง 2.00% ณ ปลายปี 66 ส่วนภาคการส่งออกไทย ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ประกอบกับปี 66 จะมีการเริ่มเก็บภาษีขายหุ้นลดสภาพคล่องของนักลงทุนด้วย
ฝ่ายวิจัยแนะนำลงทุนในหุ้น 5 กลุ่ม ได้แก่
1.กลุ่มหุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการช้อปดีมีคืน ในปี 2566 ประกอบด้วย BJC, CPALL, MAKRO, CRC, COM7, SPVI, CPW, JMART, HMPRO, ZEN, M และ AU
2.กลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้าได้ประโยชน์จากรายได้ปรับขึ้นตามค่า FT แต่ต้นทุนเริ่มคงที่ ประกอบด้วย GPSC, BGRIM และ RATCH
3.หุ้นกลุ่มการท่องเที่ยวที่ได้รับอานิงสงค์ประเทศจีนเปิดประเทศ ในวันที่ 8 ม.ค. 66 ประกอบด้วย MINT, CENTEL, ERW, SPA, AU และ SHR
4.กลุ่มหุ้นยั่งยืนด้านพลังงานหมุนเวียน ประกอบด้วย EA , TSE , SSP , SUPER และ PRIME
5.กลุ่มหุ้นได้ประโยชน์จากรถยนต์ไฟฟ้า ประกอบด้วย EA , GPSC , BCP, OR และ DELTA
ฝ่ายวิจัยแนะนำ “ซื้อ” 4 หุ้นเด่นในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้แก่
1.หุ้น SPA : ทยอยขาดทุนลดลง ลุ้นพลิกมีกำไร แนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” ที่ราคาเหมาะสม 10.80 บาท โดยมองว่าลุ้นพลิกมีกำไรจากการที่จีนเปิดประเทศสนับสนุนจำนวนผู้ใช้บริการที่เป็นลูกค้าชาวจีนที่นิยมใช้บริการสปามีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะที่การผ่อนคลายมาตรการจัดการโควิด-19 สนับสนุนสาขาที่เปิดดำเนินการในประเทศจีน
2.หุ้น D : ฐานลูกค้าต่างชาติขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยแนะนำตาม “Bloomberg Consensus”ราคาเหมาะสมที่ 8.75 บาท โดยมองว่าฐานลูกค้าต่างชาติขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ทิศทางผลการดำเนินงานในปี 66 รายได้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปี 65 เนื่องจากฐานลูกค้าชาวต่างชาติจะขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญจากการขยายตลาดเชิงรุกสู่กลุ่มลูกค้าชาวอาหรับซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง และลูกค้ากลุ่มประเทศเดิมจากโซนออสเตรเลีย อเมริกา และยุโรปฟื้นตัว และได้รับประโยชน์ในระยะยาวจากนโยบายในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็น “Dental Hub” โดยคาดว่ากำไรปี 66 อยู่ที่ 61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17%YoY
3.หุ้น CEYE : ธุรกิจโฆษณามีแววสดใสหนุนกำไรปี 66 เติบโตต่อเนื่อง แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 7.12 บาท โดยมองว่าธุรกิจโฆษณามีแววสดใสหนุนรายได้และกำไรปี 66 ให้เติบโตต่อเนื่องจากการเติบโตของธุรกิจโฆษณาและแผนขยายงานออนไลน์โปรดักชั่นในต่างประเทศมากขึ้น จากเดิมที่ให้บริการเพียงภาพนิ่งเป็นหลัก ซึ่งได้รับอานิสงส์ตามการฟื้นตัวของธุรกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทำให้แบรนด์สินค้าต่างๆ ในหลากหลายธุรกิจเริ่มกลับมาใช้จ่ายด้านโฆษณามากขึ้น ส่งผลให้ปี 66 คาดจะมีรายได้ประมาณ 398 ล้านบาท เติบโต 10%YoY และจะมีกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 64 ล้านบาท เติบโต 19%YoY
4.หุ้น AU : ลุ้นสัดส่วนลูกค้าต่างชาติกลับสู่ระดับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 โดยแนะนำตาม “Bloomberg Consensus” กำหนดราคาเหมาะสมที่ 13.20 บาท โดยมองว่ามีโอกาสที่สัดส่วนลูกค้าต่างชาติจะกลับสู่ระดับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งแนวโน้มผลประกอบการปี 66 จะเติบโตดี และยังคงมีโมเมนตัมดีต่อเนื่องไปยังปี 66 ซึ่งคาดสัดส่วนลูกค้าต่างชาติจะกลับสู่ระดับก่อนช่วงโควิด-19 ที่ราว 30-40% นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 4/65 ถึงปี 66 บริษัทยังมีแผนการขยายสาขาเชิงรุก อาทิ ร้าน After You ในห้างสรรพสินค้า และในรูปแบบ Pop-up Store, Standalone และ Marketplace, ร้านผลไม้ “ลูกก๊อ” (แบรนด์ใหม่) ตลอดจนการขยายแฟรนไชส์ไปยังกลุ่ม CLMV รวมทั้งหมดอีกราว 30 สาขา จากปัจจุบันที่มีทั้งหมด 44 สาขา ทั้งนี้คาดว่าปี 66 จะมีกำไรสุทธิ 204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65%YoY
ทางด้าน บล.ทรีนีตี้ นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ระบุว่าทิศทางการลงทุนเดือน ม.ค.66 คาด SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,620-1,700 จุด ในเชิงกลยุทธ์ แนะถือครองหุ้นเพื่อ Let profit run สำหรับหุ้นที่ได้เข้าซื้อช่วงดัชนีต่ำกว่าระดับ 1,640 จุด โดยยังคงเน้นไปที่ธีมการลงทุนประจำไตรมาส 1 ได้แก่
1. กลุ่ม Domestic cyclical ที่อิงกับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ GLOBAL, PLANB, SC, STEC
2. กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวและราคายังคงปรับตัว Laggard ได้แก่ กลุ่ม PF&REIT
3. กลุ่ม Anti-Commodity ที่ได้ประโยชน์จากราคาโภคภัณฑ์ขาลง ได้แก่ GPSC
4. กลุ่ม Counter Cyclical เพื่อ Hedging พอร์ตหากเศรษฐกิจชะลอเร็วกว่าคาด ได้แก่ JMT
5. กลุ่มหุ้นปันผลสูงที่เข้าสู่ High season ได้แก่ ADVANC, SCC, TISCO
ประเมินว่าทิศทางดัชนี SET ในช่วงเดือนม.ค. ยังไม่มีอะไรน่ากังวลใจมากนัก แรงกดดันที่จะเกิดขึ้นจากการไถ่ถอนกองทุน LTF ไม่มีนัยสำคัญ โดยน่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 8 พันล้านบาท หลังนักลงทุนส่วนใหญ่ที่มีการเข้าซื้อกองทุนนี้ในปี 2560 ยังคงประสบผลขาดทุนอยู่ จึงอาจจะไม่ได้มีแรงจูงใจในการขายมากนัก
ปัจจัยกระตุ้นอื่น มองไปยังมาตรการ ‘ช้อปดีมีคืน’ ที่น่าจะช่วยเข้ามาสร้างสีสันให้กับการจับจ่ายใช้สอยในประเทศได้บ้าง ส่วนทางภาคการคลังสหรัฐฯ จับตาความคาดหวังของนักลงทุนเชิงบวกต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ภายหลังจากการเข้ามาทำงานอย่างเป็นทางการของ Congress ชุดใหม่ ซึ่งมีการเปลี่ยนขั้วเสียงข้างมากจากพรรคเดโมแครตไปเป็นรีพับลิกัน
สำหรับการประชุมธนาคารกลางในเดือนนี้ มีที่น่าจับตาได้แก่ การประชุม กนง.ของไทยในวันที่ 25 ม.ค. ซึ่งหากมีการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 ไปอยู่ที่ 1.50% ก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องที่ Surprise แต่อย่างใด
ส่วนปัจจัยที่น่าติดตามระยะสั้น ได้แก่ รายงานตัวเลขภาคการผลิตของประเทศสำคัญต่างๆ ที่ดูเหมือนจะออกมาอ่อนแอมากขึ้น เปิดความเสี่ยงต่อภาคการส่งออกของไทยในช่วงถัดไป รวมถึงรายงานตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯประจำเดือน ธ.ค. ซึ่งมีโอกาสเป็นตัวกำหนดแผนการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ในช่วงถัดไป โดยเฉพาะหากตัวเลขจริงออกมาทรงตัวหรืออ่อนแอจากเดือนก่อน เนื่องจากจะเป็นการยืนยันถึงแผนการลดความเร็วการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงถัดไปได้
#บล.โกลเบล็ก #SPA #D #CEYE #AU #บล.ทรีนีตี้