HoonSmart.com>>บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG ผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจรขนาดใหญ่ที่มีประสบการณ์กว่า 55 ปี ถือว่าเป็น “หุ้นอาหาร” สุดฮอตตัวหนึ่ง ที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นบริษัทอาหารของคนไทย ที่มุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูง จนเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ด้วยจุดเด่นที่ครบเครื่อง ทำให้มีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเบทาโกรพร้อมแล้วที่จะเข้าไปเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนชั้นนำที่มีคุณภาพของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดโอกาสให้นักลงทุนร่วมลงทุนเป็นเจ้าของและเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยื่นไปด้วยกันในระยะยาว
“เบทาโกร” ประกอบธุรกิจหลัก 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มธุรกิจเกษตร 2. กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน 3. กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ 4.กลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีการบริหารแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์ (Value Chain) ตั้งแต่การผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ปศุสัตว์ การเพาะแม่พันธุ์และพ่อพันธุ์ เพื่อขยายกำลังการผลิตเนื้อหมู เนื้อไก่ และไข่ไก่ ตลอดจนอาหารแปรรูป อาหารพร้อมรับประทาน และผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง และมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายและครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เป็นต้น โดยมีการควบคุมความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) อย่างเข้มงวด ตามมาตรฐานระดับสากล
มุ่งเน้นสู่ธุรกิจอาหารและโปรตีน
บริษัทให้ความสำคัญมากกับธุรกิจอาหารและโปรตีน เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่ดีในอนาคต โดยมุ่งเน้นขยายกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าสูง และให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุง ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน นอกจากนี้ยังมีการใช้นวัตกรรมและการพัฒนผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกจากพืช ภายใต้แบรนด์ Meatly! รวมถึงแผนลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตในแต่ละกลุ่มธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานอีกหลายโครงการ
นอกจากประเทศไทย “เบทาโกร” ยังมีกลุ่มธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันลงทุนในประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และส่งออกสินค้าไปขายกว่า 20 ประเทศทั่วโลก เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และสหราชอาณาจักร พร้อมมองหาโอกาสขยายไปสู่ตลาดใหม่ โดยยังคงให้ความสำคัญต่อการเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่คุณค่า เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอก และใช้ประโยชน์จากโอกาสทางธุรกิจอย่างเต็มที่ พร้อมขยายการส่งออกอาหารและการทำธุรกิจในภูมิภาคอย่างแข็งแกร่ง
ในระยะยาวบริษัทมีแผนที่จะขยายไปยังตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น ประเทศอินเดีย และจีน รวมถึงแผนการขยายการจัดจำหน่ายในตลาดที่สำคัญ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง การจัดตั้งสำนักงานการค้าสำหรับธุรกิจเกษตรและกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน การประกอบธุรกิจรูปแบบใหม่ และการเพิ่มการรับรู้แบรนด์ “S-Pure” และ “BETAGRO”
นอกจากนี้บริษัทฯ มีแผนจะขยายกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง ที่มีอัตรากำไรสูง โดยมุ่งเน้นไปยังผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีมูลค่าเพิ่มสูง การขยายธุรกิจในตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น ญี่ปุ่น และจีน ผ่านการขยายการส่งออกผลิตภัณฑ์จ้างผลิต (OEM) และการเข้าเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง
จุดแข็งและศักยภาพการเติบโต
“เบทาโกร” มีศักยภาพในการเติบโต ทั้งธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ด้วยจุดเด่นของโมเดลธุรกิจ และกลยุทธ์ที่ชัดเจน ภายใต้จุดแข็งด้านการเป็นบริษัทอาหารชั้นนำระดับสากล ที่มีผลิตภัณฑ์และแบรนด์หลากหลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย มีกระบวนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ด้วยรูปแบบธุรกิจ Asset-Light Investment Strategy ด้วยระบบและช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งและขับเคลื่อนด้วยข้อมูล มีร้านค้าที่เป็นของบริษัทฯ เอง ทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ ช่องทางธุรกิจค้าปลีกแบบสมัยใหม่เป็นพันธมิตรกว่า 100 แห่ง
นอกจากนี้ งานวิจัยและพัฒนา ก็เป็นสิ่งที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเบทาโกรมีการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาหลายแห่ง ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนา (Research and Development Center) ที่มุ่งเน้นกิจกรรมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงแบบระยะยาว รวมถึงศูนย์นวัตกรรมการเกษตร (Agro Innovation Center) ศูนย์นวัตกรรมอาหาร (Food Innovation Center) และศูนย์นวัตกรรมสัตว์เลี้ยง (Pet Innovation Center) ที่มุ่งเน้นการวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อการจำหน่ายสู่ตลาดโดยตรงสำหรับกลุ่มธุรกิจเกษตร กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน และกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง ตามลำดับ เพื่อเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต ลดต้นทุน เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และบริษัทฯ ยังมุ่งสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มที่จะตอบสนองความต้องการและความนิยมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการนำระบบดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานตลอดห่วงโซ่อุปทาน
เบทาโกรยังได้นำโปรแกรมการเพิ่มประสิทธิภาพมาใช้ในกลุ่มธุรกิจเกษตร กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน ทำให้สามารถบริหารจัดการผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่ายให้เหมาะสมตามสภาวะตลาด เพื่อสร้างอัตรากำไรอย่างสูงสุด รวมถึงการมีระบบที่มีประสิทธิภาพของข้อมูล เพื่อช่วยให้การตัดสินใจในด้านต่างๆ มีความแม่นยำยิ่งขึ้น
คณะผู้บริหารและคณะกรรมการฯของเบทาโกร มีวิสัยทัศน์และมากด้วยประสบการณ์ พร้อมแรงสนับสนุนจากพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ผ่านการร่วมค้าระหว่างประเทศ ทั้งในอดีต อาทิ กลุ่มโตโชกุ กลุ่มซูมิโตโม่ กลุ่มโนซาน และในปัจจุบัน ได้แก่ กลุ่มอายิโนะโมะโต๊ะ กลุ่มมิตซูบิชิ กลุ่มอิโตแฮม กลุ่มมารูได ที่มีส่วนช่วยขยายตลาดในประเทศญี่ปุ่น และถ่ายทอดความเชี่ยวชาญทางอุตสาหกรรมและองค์ความรู้ทางเทคนิค
ความสำเร็จเห็นได้ชัดเจนจากผลประกอบการในครึ่งปี 2565 ซึ่งบริษัทมีรายได้รวมจากการขายสินค้าและบริการ 53,284.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 3,892.5 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 233.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 7.2%
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ “เบทาโกร” เดินหน้าธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับการให้ความสำคัญเรื่องจริยธรรมทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ( ESG ) เพื่อส่งมอบ “ชีวิตที่ยั่งยืน” แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย และมีการพัฒนาโครงการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน พลังงานหมุนเวียน ซึ่งได้รับการยอมรับและได้รับรางวัลต่าง ๆ เช่น การติดตั้ง Solar Rooftop ในประเทศไทย ในปี 2564 และมีการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ คิดเป็น 8% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด
มุ่งสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ (New S-Curve)
บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายแพลตฟอร์มธุรกิจใหม่ เน้นพัฒนาและการลงทุนในด้าน Food-Tech, Agri-Tech และ Restaurant-Tech โดยมี 2 กลยุทธ์หลัก คือ Venture Building ที่จะขยายธุรกิจใหม่ใน 3 สาขา ได้แก่ การพัฒนาความสามารถในการเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพสูงให้แก่ผู้บริโภค การสร้างแหล่งโปรตีนใหม่และยั่งยืน และการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานในสายอุตสาหกรรมการเกษตร รวมถึง Venture Capital ที่มีแผนลงทุนเป็นผู้ลงทุนรายย่อยในธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการจัดสรรเงินทุนรวมประมาณ 900 ล้านบาท สำหรับปี 2565-2569 ผ่านธุรกิจที่มีศักยภาพในทั้ง 3 สาขา เช่น การลงทุนในธุรกิจ Kerry Cool ซึ่งเป็นการให้บริการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ เพื่อขยายบริการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิไปยังลูกค้ากลุ่ม B2C จากที่ให้บริการลูกค้ากลุ่ม B2B เป็นหลัก รวมถึงผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกที่ทำจากพืชภายใต้แบรนด์ “Meatly!” เพื่อการสร้างรากฐานและฐานลูกค้าเบื้องต้นในธุรกิจโปรตีนทางเลือกที่กำลังเติบโต
ตลาดยังมีศักยภาพการเติบโตอีกมาก
อุตสาหกรรมอาหารและโปรตีน เป็นตลาดที่มีศักยภาพในการลงทุน ซึ่ง GlobalData คาดว่าการบริโภคโปรตีนในประเทศไทย เติบโตประมาณ 4.7% ต่อปี ไปอีก 5 ปีข้างหน้า รวมทั้งยังมีโอกาสจากตลาดต่างประเทศด้วย โดยในประเทศกัมพูชา คาดว่าจะโตถึง 10% ต่อปี ไปอีก 5 ปีข้างหน้า ส่วนยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงจะเติบโตแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่า 10% จากการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว รวมถึงการแต่งงานและมีบุตรช้า ทำให้ประชากรมีเวลาและเงินในการใช้จ่ายกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น
ชู 4 กลยุทธ์เพื่อเพิ่มศักยภาพในระยะยาว
1. บริษัทมุ่งการเป็นผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม ผ่านการพัฒนากลไกที่ยกระดับการขายและประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกร รวมทั้งขยายธุรกิจโปรตีนกลางน้ำ ธุรกิจปลายน้ำ
2. มุ่งขยายธุรกิจอาหารแปรรูปและพันธมิตรธุรกิจในกลุ่มร้านอาหาร พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบใหม่ๆ ยกระดับความเป็นพันธมิตรกับกลุ่มผู้ให้บริการด้านอาหารผ่านแพลตฟอร์มดิจิตัล
3. เสริมสร้างธุรกิจให้มีศักยภาพ มองหาโอกาสและเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ เช่น โปรตีนทางเลือก อาหารสัตว์เลี้ยงชนิดที่เป็นเนื้อสด และอาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อการรักษาโรค
4. เร่งการลงทุน แสวงหาพันธมิตรใหม่ๆ และนำความเชี่ยวชาญของเครือมาประยุกต์ใช้ในการผลักดันการเติบโตของธุรกิจในต่างประเทศ
เตรียมเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 500 ล้านหุ้น
BTG กำลังจะเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2565 ในกลุ่มธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 500 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25.0% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ภายหลัง IPO (รวมหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนจาก BTG) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร และ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
เชื่อว่าหุ้น “เบทาโกร” จะได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนเป็นอย่างดี