HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นเช้านี้ร่วง 13.97 จุด หลังเฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมครั้งหน้า-เริ่มลดขนาดงบดุล ส่งสินทรัพย์เสี่ยงถูกเทขาย ขณะที่ราคาน้ำมันดิบร่วงแรงหลัง IEA เตรียมปล่อยน้ำมันจากคลังสำรองออกมาตามสหรัฐ ประกอบกับมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของประเทศตะวันตกส่งผลต่อต้นทุนพลังงาน โดยให้กรอบแกว่ง 1,685-1,705จุด พร้อมประเมินตลาดอาจถูกกระทบในช่วง 1-2 เดือนนี้ และดัชนีมีโอกาสพักฐานลงหาระดับ 1,600-1,650+- จุด
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วันที่ 7 เม.ย.2565 ณ เวลา 10.02 น. อยู่ที่ระดับ 1,687.27 จุด ลดลง 13.97 จุด หรือ -0.82% มูลค่าซื้อขาย 9,674.64 ล้านบาท
บล.โกลเบล็ก มองดัชนีฯปรับตัวลงตามทิศทางตลาดต่างประเทศ โดยมีแรงกดดันจากการที่หลังกรรมการเฟดเห็นพ้องที่จะปรับลดขนาดงบดุลลงเดือนละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเร็วที่สุดในเดือนพ.ค.นี้ ประกอบกับมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของประเทศตะวันตกส่งผลต่อต้นทุนพลังงาน คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,685-1,705 จุด
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้น Value Play คือ KBANK BBL SCB GPSC GULF ADVANC TRUE DTAC, กรณีสงครามยืดเยื้อ ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูง บวกต่อ PTTEP PTTGC TOP , สินค้าเกษตร ข้าวสาลี และกากถั่วเหลืองขึ้น เป็นบวกต่อ TMILL TVO และเป็นลบต่อธุรกิจอาหารสัตว์ทาให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น CPF GFPT ASIAN ส่วนจ่อปลดล็อกเข้าประเทศทุกเงื่อนไข 1 มิ.ย.นี้ เลิก ThailandPass/Test&Go แนะนำ AOT ERW CENTEL MINT AWC
บล.ฟินันเซีย ไซรัส มอง SET Index อ่อนตัวลงทดสอบระดับ 1,685-1,690 จุดจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบหลังรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่ากรรมการเห็นพ้องการเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมครั้งหน้า รวมถึงเริ่มลดขนาดงบดุลวงเงิน 9.5 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Growth และกลุ่มเทคโนโลยี (Tech) ถูกเทขาย ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงแรงหลังสมาชิกอื่นใน IEA เตรียมปล่อยน้ำมันจากคลังสำรองออกมาตามสหรัฐฯ
จึงประเมินว่า SET Index อาจถูกกระทบในช่วงสั้น 1-2 เดือนนี้ และดัชนีมีโอกาสพักฐานลงหาระดับ 1,600-1,650+- จุด แต่ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อกระแสเงินทุนที่จะไหลเข้าในระยะกลาง-ยาวเพราะช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเม็ดเงินจากการอัดฉีดของธนาคารกลางต่างๆไม่ได้ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศอยู่ในช่วงเร่งตัวโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นในครึ่งหลังปี 65 จึงยังมองจังหวะอ่อนตัวของดัชนีลงหากรอบคาดการณ์เป็นโอกาสในการ “ทยอยสะสม” เพื่อถือลงทุน โดยยังคงเน้นกลุ่ม Value และ Domestic Play ที่มี PER/PBV ต่ำ ทนทานต่อภาวะเงินเฟ้อและนโยบายการเงินโดยเฉพาะเฟดที่จะตึงตัวเร็วได้ดี โดยยังชอบกลุ่ม ธนาคาร โรงกลั่น ค้าปลีก อสังหาฯ อาหารและเครื่องดื่ม การแพทย์ เป็นต้น
กลยุทธ์เลือกลงทุนหุ้นที่ยังมี Valuation ต่ำ และยังเน้น Value และ Domestic Play หุ้นเด่นเดือน เม.ย. BCP, ICHI, IVL, ORI, SHR
หุ้นเด่นวันนี้ TACC แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 8.70 บาท ระยะสั้นแนวโน้มกำไรครึ่งแรกปี 65 ยังดูดีและเข้า High Season โดยรายได้เติบโตทั้งจากธุรกิจเครื่องดื่มทั้ง 7-11 และ Non 7-11 รวมถึงธุรกิจ Character ที่ดีขึ้น ส่วนฝั่งต้นทุนยังกระทบไม่มาก ด้านผู้บริหารยังตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10-15% เร่งตัวตามการ Reopening และการใช้ชีวิตที่ปกติมากขึ้น ส่วนฝั่งต้นทุนหาก 2H22 ยังไม่ผ่อนคลายอาจพิจารณาปรับขึ้นราคาขาย จึงยังคาดกำไรปีนี้โตแข็งแรง +9% Y-Y พร้อมให้แนวรับ 7.40-7.30 บาท แนวต้าน 7.55 ถัดไป 7.80-8.00 บาท
5 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่
EA อยู่ที่ 90.75 บาท ลดลง 3.50 บาท หรือ -3.71% มูลค่าซื้อขาย 1,301.84 ล้านบาท
JDF อยู่ที่ 3.52 บาท เพิ่มขึ้น 0.92 บาท หรือ +35.38% มูลค่าซื้อขาย 591.52 ล้านบาท
KBANK อยู่ที่ 159.50 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ -1.24% มูลค่าซื้อขาย 560.34 ล้านบาท
SCC อยู่ที่ 372.00 บาท ลดลง 11.00 บาท หรือ -2.87% มูลค่าซื้อขาย 422.27 ล้านบาท
PTT อยู่ที่ 38.25 บาท ลดลง 0.25 บาท หรือ -0.65% มูลค่าซื้อขาย 388.43 ล้านบาท