ทริสฯชี้ NWR ส่อผิดเงื่อนไขการเงิน ขาดทุน-งานช้า งานใหม่น้อย

HoonSmart.com>>ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ เป็น “BB+” ห่วงฐานะการเงินอ่อนแอ คาดปีนี้ขาดทุน 500 ล้านบาท ยังเป็นตัวแดงอีก 1-2 ปี จากงานก่อสร้างล่าช้า ทำให้อัตรากำไรต่ำ งานใหม่น้อยกว่าคาด

บริษัท ทริสเรทติ้ง ลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ เป็น “BB+” จาก “BBB-” แนวโน้ม “คงที่

อันดับเครดิตที่ลดลงสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่อ่อนแอ ทริสฯมีความกังวลสถานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลงานในโครงการรับเหมาก่อสร้างที่หลากหลายของบริษัททั้งในภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงมุมมองในเชิงบวกสำหรับภาพรวมของธุรกิจรับเหมาฯ ภายในประเทศในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากลักษณะธุรกิจที่เป็นวงจรขึ้นลงและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจรับเหมาฯ รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าแผน

บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่อยู่ในระดับปานกลางและให้บริการงานก่อสร้างหลากหลายประเภท เช่น งานก่อสร้างอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม งานโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ท่าเรือ ระบบชลประทาน อุโมงค์ และงานดันท่อลอด เป็นต้น

บริษัทเน้นงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ แต่มีข้อจำกัดในการประมูลงานโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีคุณสมบัติในการประมูลจะต้องเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ รวมทั้งต้องมีผลงานโครงการขนาดใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ และต้องมีเงินทุนจำนวนมาก บริษัทจึงต้องใช้วิธีประมูลงานประเภทดังกล่าวภายใต้กิจการร่วมค้าหรือเป็นผู้รับเหมาช่วง

นอกจากนี้ บริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ผ่านบริษัทย่อย ได้เปิดขายบ้านเดี่ยวจำนวน 2 โครงการและคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการ ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 4,600 ล้านบาท แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ยอดขายโครงการบ้านเดี่ยวยังต่ำกว่าที่คาดไว้ รายได้ค่อนข้างต่ำและไม่เพียงพอที่จะสร้างผลกำไรได้ บริษัทยังมีสินค้าที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวนหนึ่งและต้องแบกภาระต้นทุนทางการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกด้วย ทริสฯมองว่าบริษัทคงไม่สามารถเติบโตในธุรกิจนี้ได้อย่างมั่นคงนัก

การปรับลดอันดับเครดิตมาจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอ ในช่วง 9 เดือน/ 2562 มีรายได้ 5,900 ล้านบาท ลดลงถึง 28% ถึงแม้ว่าจะมีงานรอส่งมอบจำนวนมาก แต่รายได้กลับต่ำกว่าที่ทริสฯประมาณการไว้ ส่วนใหญ่มาจากความล่าช้าของงานก่อสร้างโครงการหลัก ๆ เช่น งานโครงสร้างและงานสถาปัตยกรรมสำหรับสถานีรถไฟฟ้ารางเดี่ยวจำนวน 2 สายและงานย้ายสายไฟฟ้าลงใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้ที่ขาดหายไปจากยอดขายที่อยู่อาศัยที่ไม่ต่อเนื่องอีกด้วย

บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)จากธุรกิจรับเหมาฯเพียง 4.4% ในช่วง 9 เดือน ลดลงจากระดับ 6-7% ในช่วง 3 ปีก่อนหน้า อัตรากำไรที่ต่ำกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน มาจากการแข่งขันที่รุนแรงในการประมูลงานและการมีต้นทุนที่เกินงบประมาณในบางโครงการ

ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลงได้ ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ในช่วง 9 เดือนนี้ ลดลงอย่างมากจนเหลือเพียง 4.2% เมื่อเทียบกับ 8-10% ในช่วงปี 2559-2561 ทริสฯจึงคาดว่าบริษัทจะขาดทุนจำนวนมากเกือบประมาณ 500 ล้านบาทในปี 2562 ทำให้มีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ขาดทุน ทริสฯคาดว่าไม่น่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันใกล้คาดบริษัทจะยังคงมีผลกำไรที่ต่ำหรืออาจขาดทุนเล็กน้อยในอีก 1-2 ปีข้างหน้า

สำหรับงานใหม่ ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้งานใหม่ประมาณ 4,600 ล้านบาท ต่ำกว่าที่ทริสฯคาดไว้ที่ 7,000 ล้านบาท คาดว่าบริษัทจะได้งานรับเหมาก่อสร้างใหม่มูลค่า 1 หมื่นล้านบาทในปี 2563 และมูลค่า 7 พันล้านบาทในปี 2564 และปี 2565 ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2562 บริษัทมีมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบอยู่ที่ 1.65 หมื่นล้านบาท และในช่วง 3 ปีข้างหน้าทริสฯคาดว่าบริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ระดับ 9,000-12,000 ล้านบาทต่อปี

ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรที่อ่อนแอของบริษัทจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปเนื่องจากงานที่ยังไม่ส่งมอบจำนวนมากมีอัตรากำไรที่ต่ำ ยิ่งไปกว่านั้น ความล่าช้าของโครงการหลัก ๆ จะยิ่งส่งผลให้อัตรากำไรโดยรวมลดลงยิ่งขึ้น บริษัทยังคงต้องเน้นงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและได้รับงานใหม่ด้วยการเป็นผู้รับเหมาช่วงซึ่งโดยทั่วไปจะมีอัตรากำไรที่ค่อนข้างต่ำ

บนประมาณการพื้นฐานสำหรับปี 2563-2565 ของทริสคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของบริษัทจะอยู่ในช่วง 5.5%-6% และอัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 7% อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 6% กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ในช่วง 600-750 ล้านบาทต่อปี และเงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ประมาณ 300-450 ล้านบาทต่อปี

การขาดทุนจำนวนมากในปี 2562 ทำให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทอ่อนแอ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับ 51.9% ณ เดือนกันยายน 2562 เพิ่มจาก 46.1% ณ สิ้นปี 2561 ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปจากความล่าช้าในงานก่อสร้างบางโครงการ ยิ่งไปกว่านั้น ยังคาดว่าบริษัทจะไม่สามารถขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีเพื่อนำเงินที่ได้มาไปลดภาระหนี้ลงได้อีกเช่นกัน

ภายใต้ประมาณการพื้นฐาน ทริสคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 4,500-5,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 55-60% กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้จะอยู่ในระดับต่ำ อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 2.5 เท่า

“บริษัทมีแนวโน้มที่จะผิดเงื่อนไขข้อกำหนดทางการเงินในสัญญาหุ้นกู้และเงินกู้ยืมจากธนาคาร ซึ่งบริษัทจะต้องรักษาอัตราส่วนภาระหนี้รวมสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ให้เกิน 2.5 เท่า จาก ณ เดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ 2.3 เท่า จากข้อกำหนดที่ค่อนข้างตึงตัวนี้ หากบริษัทไม่สามารถบริหารจัดการความต้องการเงินทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ โดยเฉพาะการเก็บเงินจากลูกหนี้การค้าที่ค้างชำระ บริษัทมีสภาพคล่องที่ตึงตัว มีแหล่งเงินทุน เป็นเงินสด 766 ล้านบาท วงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีก 452 ล้านบาท ทริสคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 300-450 ล้านบาท หากบริษัทไม่สามารถดำเนินการตามเงื่อนไขทางการเงินได้ หรือไม่สามารถขอผ่อนผันข้อกำหนดทางการเงินได้ อันดับเครดิตก็อาจถูกปรับลดลง” ทริสระบุ

ขณะที่บริษัทมีภาระหนี้จำนวนมากที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้ารวมทั้งสิ้น 3,900 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ยืมจากธนาคารจำนวน 2,100 ล้านบาทและหุ้นกู้อีกจำนวน 1,700 ล้านบาท บริษัทใช้เงินกู้ยืมจากธนาคารเกือบทั้งหมดเป็นเงินทุนหมุนเวียนในโครงการก่อสร้างซึ่งมีกำหนดชำระคืนตามความก้าวหน้าของการก่อสร้าง ทริสคาดว่าบริษัทจะสามารถต่อสัญญาการกู้ใหม่ออกไปได้ ในขณะเดียวกันบริษัทวางแผนจะชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวนมาก ความเสี่ยงจากการหาแหล่งเงินทุนเพื่อชำระคืนหนี้ก็นับว่าเป็นประเด็นกังวลอีกประการหนึ่งด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจหลักเอาไว้ได้และจะสามารถประมูลงานขนาดใหญ่ใหม่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่องจากการที่ภาครัฐเร่งประมูลงานโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ น่าจะอยู่ในระดับตามที่ทริสประมาณการไว้ ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 10% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 55%-60% บริษัทมีหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,720.1 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563