ปิโตรฯแบงก์เจอหั่นเป้ากำไร-จีดีพี ดอกเบี้ยลงซ้ำเติม SCB-BBL

HoonSmart.com>>หุ้นจีนเปิดเทรดวันแรก ดิ่งแรงตามคาด 7.88% ฉุดหุ้นไทยหลุด 1,500 จุด ต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี ต่างชาติกลับมาซื้อ 256 ล้านบาท แต่ขายอนุพันธ์ 8,428 สัญญา  บล.เมย์แบงก์ฯให้แนวรับ 1,450 จุด บล.เอเซียพลัส 1,470 หั่นเป้าเศรษฐกิจ-กำไรบจ.ใหญ่  PTTGC-IVL  หายไป  8 ล้านบาท  SCB-BBL เจอดอกเบี้ยลงด้วยส่วน CPF รูด6% กังวลไข้หวัดนะระบาดในจีน บล.ทิสโก้สกิดนักลงทุน หุ้นร่วงแรงเกินไป มีสิทธิเด้งกลับ ส่วน บลจ.ทิสโก้ มองต่ำกว่า 1,500 น่าสนใจ แต่ยังไม่กล้าออกทริกเกอร์ฟันด์ บลจ.วี เตรียมออกทริกเกอร์หุ้นตลาดเกิดใหม่กลางเดือน MAJOR ยอมรับคนดูหนังลดลง CENTEL คุยเดือนม.ค.ยังดี 

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ ตลาดหุ้นจีนเปิดเทรดวันแรกหลังหยุดมานานนับตั้งแต่เทศกาลตรุษจีน นักลงทุนพร้อมใจกันทิ้ง ดัชนีดิ่งตามคาด 7.88% ปิดที่ 3,688.36 จุดลากหุ้นไทยหลุด 1,500 จุด ปิดที่ระดับ 1,496.06 จุด ลดลง 18.08 จุด หรือ 1.19% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 53,178.96 ล้านบาท นับเป็นจุดต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี จากระดับ 1,490.11 จุด เมื่อวันที่ 24 พ.ย.59 โดยมีแรงหุ้นขนาดใหญ่ รวมถึง CPF หายไปกว่า 6% ปิดที่ 28 บาท นักลงทุนกังวลไข้หวัดนก H5N1 ระบาดในจีน

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อหุ้น 256 ล้านบาท สถาบันในประเทศทิ้งของ 1,726 ล้านบาท รายย่อยช้อนต่อ 1,907 ล้านบาท ส่วนอนุพันธ์ ต่างชาติขาย 8,428 สัญญา ซื้อตราสารหนี้ 2,533 ล้านบาท

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASPS) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะปรับลดประมาณการกำไรสุทธิ และกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปี 2563 อย่างเป็นทางการ หลังการประกาศงบการเงินงวดปี 2562 เบื้องต้นได้ปรับลดคาดการณ์กำไรบจ.ในปี 2563 จาก 1 ล้านล้านบาท เหลือ 9.68 แสนล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นระดับ 92.62 บาท/หุ้น ยังเติบโตเล็กน้อย 0.5% เมื่อเทียบกับปี 2562

ฝ่ายวิจัยฯได้ทบทวนเบื้องต้นมีการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทขนาดใหญ่ 10 แห่ง กระจายในกลุ่มแบงก์พาณิชย์, ปิโตรเคมี, วัสดุก่อสร้าง, กลุ่ม ICT และสนามบิน รวมประมาณ 32.235 ล้านบาท เช่น  PTTGC -8.03 ล้านบาท IVL ติดลบ 7.89 ล้านบาท SCB ปรับลดลง 6.05 ล้านบาท  BBL ลดลง 2.28 ล้านบาท

ทั้งนี้ มีการปรับสมมุติฐาน เพราะมีโอกาสสูงว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำกว่า 2.5% จากที่ประเมินไว้  2.8% ขณะที่ Consensus คาดการณ์กันช่วง 2.7-3.2% หลังเศรษฐกิจโลกชะลอตัวชัดเจน จากการระบาดของไวรัสโคโรนา และสงครามการค้าสหรัฐและจีนยังไม่ได้ยกเลิกการจัดเก็บภาษีรอบ 1-3 และความเสี่ยงที่สหรัฐตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ไทย รวมถึงความล่าช้าการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 ภาวะภัยแล้ง และภาคการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า กรอบของแนวรับและแนวต้านให้ไว้ที่ 1,470-1,530 จุด ถ้าไวรัสโคโรนายังคงยืดเยื้อต่อไป กลุ่มที่น่าสนใจได้แก่ เกษตรและอุสาหกรรมอาหาร จากราคาสัตว์อยู่ในทิศทางขาขึ้น ให้มูลค่าเหมาะสม CPF ที่ 40 บาท

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้แนวรับและแนวต้านที่ 1,450-1,540 จุด คาด  2 สัปดาห์ต่อจากนี้จะเห็นตัวเลขของผู้ติดเชื้อที่แน่ชัด มีปัจจัยลบอื่นๆ อาทิการเมืองน่าจะมีผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน กำไรไตรมาส 4/2562 แนะนำกลุ่มที่จะได้รับผลประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำ และที่จะลดลง ได้แก่ TISCO ให้มูลค่าเหมาะสม 105 บาท และ KKP ที่ 80 บาท รวมถึง SAWAD ที่ 75 บาท

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่าตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ (3-7 ก.พ. )ผันผวนในกรอบ 1,480-1,524 จุด หลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว , อิเล็กทรอนิกส์ และรอจนกว่าสถานการณ์เริ่มคลายความกังวล ขณะเดียวกันแนะนำหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดี เช่น CPNREIT , TISCO รวมถึงหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวและราคาลงมามาก เช่น COM7 , MTC, CHAYO

บล.กสิกรไทยให้แนวรับต่อไปที่ 1485

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวว่า การควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ น่าจะทำได้รวดเร็วกว่าโรคซาร์ส แต่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อการท่องเที่ยวไทยมากกว่า  ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงมาสะท้อนผลกระทบไปมากแล้ว โดยดัชนีหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวลงมาประมาณ 18% นับจากวันที่มีการค้นพบโรค จึงประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับลดลงจำกัด หากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เริ่มนิ่ง และมีแนวโน้มกลับมาลดลง จะเป็นสัญญาณบวกที่จะทำให้ตลาดหุ้นดีดกลับได้อย่างรวดเร็ว

ด้านบลจ.ทิสโก้ มองดัชนีหลุด 1,500 จุดน่าสนใจ แต่ยังไม่ออกทริกเกอร์ฟันด์ มีกองจีนรอขายสัปดาห์หน้า ส่วนบลจ.วี เตรียมออกทริกเกอร์หุ้นตลาดเกิดใหม่กลางเดือน หลังหุ้นร่วงแรง กำไรบจ.โตกว่าหุ้นไทย

นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป (MAJOR) ยอมรับว่าไวรัสโคโรนาระบาดมีผลกระทบต่อการเข้ามาชมภาพยนตร์ แต่ไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นโรงภาพยนตร์ที่อยู่ในกรุงเทพฯ  ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทย ส่วนคนจีนมีน้อยมาก  เพราะยังไม่มีคำบรรยายภาษาจีน

นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) กล่าวว่า ในเดือนม.ค. ยังมีอัตราการเข้าพักอยู่ในระดับ 80% จากปีก่อนอยู่ที่ 83% คาดว่าจะได้รับกระทบในเดือนก.พ. บริษัทจะมุ่งเน้นการทำการตลาดในประเทศอื่นแทน เช่น อินเดีย และยุโรป รวมถึงไทยด้วย โดยปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าคนไทยเพิ่มขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแล้ว ส่วนธุรกิจอาหาร คาดว่าปีนี้จะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 10% จากปัจจุบันต่ำกว่า 10%

อ่านประกอบ

เอเซียพลัสลดเป้ากำไร 10 บจ. รวม 32 ลบ. PTTGC หนักสุด 8 ลบ.