HoonSmart.com>> “ฟิทช์ เรทติ้งส์” ปรับแนวโน้มอันดับเครดิต “ปูนซิเมนต์ไทย” เป็น “ลบ” จากมีเสถียรภาพ สะท้อนถึงความเสี่ยงจากอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น ฟิทช์คาดว่ากระแสเงินสดจากธุรกิจเคมิคอลส์ที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง พร้อมคงเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘A+(tha)’
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เป็นลบจากมีเสถียรภาพ ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ที่ ‘A+(tha)’ อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทฯ ที่ ‘A+(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ที่ ‘F1(tha)’
นอกจากนี้ ฟิทช์ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long Term Rating) หุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ของ SCC – ชุดที่ 1/2563 มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 – ที่ระดับ ‘A+(tha)’ เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้สำหรับชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ SCC เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกัน และไม่ด้อยสิทธิของ SCC และหุ้นกู้ดังกล่าวมีความด้อยสิทธิในเชิงโครงสร้าง (Structural Subordination) อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากจำนวนหนี้สินที่มีหลักประกันและหนี้ที่มีลำดับสิทธิสูงกว่าของบริษัทในกลุ่ม SCC มีอยู่ในระดับที่จำกัด
การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ สะท้อนถึงความเสี่ยงจากอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น ฟิทช์คาดว่ากระแสเงินสดจากธุรกิจเคมิคอลส์ที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง ประกอบกับค่าใช้จ่ายลงทุนที่มีภาระผูกพัน (Committed Capex) ที่อยู่ในระดับสูงในช่วงสามปีข้างหน้า น่าจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ของ SCC เพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับที่เกิน 3.0 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ไม่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันของบริษัทฯ ในช่วงที่มีการลงทุนขยายธุรกิจ
แผนการเพิ่มทุนผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ซึ่งได้มีการยื่นคำขอต่อสำานักงาน ก.ล.ต. แล้วเมื่อเดือนธ.ค.2562 นั้น น่าจะช่วยลดแรงกดดันต่ออัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ในช่วงที่มีการใช้เงินลงทุนสูง และทำให้อัตราส่วนหนี้สินฯ ของบริษัทฯ กลับมาอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตได้ โดยผลสำเร็จของแผน IPO และการใช้เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนดังกล่าวเพื่อชำระหนี้หรือเพื่อการลงทุนต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยที่กำหนดอัตราการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ในช่วงหนึ่งถึงสามปีข้างหน้า