HoonSmart.com>> บล.เคทีบี ประเมินลงทุนปี 63 ความผันผวนลดลง ดอกเบี้ยต่ำ หนุน “รีท” ยังน่าสนใจ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ-ยุโรปแกร่ง เชื่องัดนโยบายการคลัง ลดภาษีนิติบุคคล กระตุ้นเศรษฐกิจหนุนกำไรบจ. ฟากหุ้นไทย เชื่อฟื้นตัว รับการค้าโลกคลี่คลาย รัฐออกมาตรการกระตุ้น มองเป้าดัชนี 1,725 จุด
นายชาตรี โรจนอาภา กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST SEC เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 2563 น่าจะคล้ายกับปี 2562 แต่จะมีความผันผวนต่ำลงจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ
1. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. 2563 ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในอดีตพบว่าในช่วงการเลือกตั้งจะเกิด “Election rally” คือ ตลาดหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาจะให้ผลตอบแทนในช่วงปีที่มีการเลือกตั้งมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก
2. รูปแบบการกระตุ้นเศรษฐกิจเปลี่ยนจากนโยบายทางการเงิน มาสู่นโยบายทางการคลังในการป้องกันการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Policy switching) โดยนโยบายที่คาดว่าประเทศพัฒนาแล้วจะนำมาใช้ คือ การลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี โดยเฉพาะประเทศสหรัฐ เยอรมันและจีน ที่มีความพร้อมที่จะทำได้ และหากมีการลดภาษีนิติบุคคลเกิดขึ้นก็จะทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนดีขึ้น
3. สถานการณ์สงครามการค้าเบนเข็มสู่ยุโรป ทาง KTBST คาดว่าข้อตกลงทางการค้า Phase 1 น่าจะสามารถบรรลุได้ในช่วงเดือนม.ค. ซึ่งจะทำให้ภาคการผลิตเริ่มกลับมาวางแผนผลิตเพื่อเพิ่มสินค้าคงคลังให้กลับมาสู่ระดับปกติ และส่งผลให้เกิดนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักรเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี หากนายโดนัลด์ ทรัมป์สามารถชนะการเลือกตั้งได้ จะหันกลับมาทำสงครามทางการค้ากับยุโรปเพื่อชดเชยการขาดดุลทางการค้า ตามนโยบาย Keep America great again!
สำหรับมุมมองดอกเบี้ย คาดว่าปีหน้าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจมีการลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เศรษฐกิจ เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการปรับลดลงอีกครั้งให้สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยโลก
ชู “หุ้นสหรัฐฯ – ยุโรป – รีท”
นายชาตรี กล่าวว่า ในปี 2563 บล.เคทีบี ยังให้คำแนะนำเน้นลงทุนในตราสารทุนมากกว่าตราสารหนี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกาและยุโรปมากกว่าตลาด เนื่องจากคาดว่ามีโอกาสนำเครื่องมือการคลังมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง รวมทั้งพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดสามารถสร้างผลประกอบการได้ดีกว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่
สำหรับสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจ ได้แก่ กองทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานจากอัตราเงินปันผลที่สูง ประกอบกับเงื่อนไขของกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Saving Fund – SSF) ที่จะเริ่มต้นในปีหน้าเปิดให้ลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้อย่างเสรีจึงเป็นโอกาสให้กองทุนเพื่อการออมลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น
“แม้ปี 2562 กองรีท กองอสังหาริมทรัพย์ ราคาหน่วยลงทุนปรับตัวขึ้นมาก ทำให้ผลตอบแทนจากอัตราเงินปันผลลดลง ปัจจุบันประมาณ 4 4.5-5% แต่เรามองว่ายังน่าสนใจลงทุน ท่ามกลางดอกเบี้ยต่ำ แต่ยังมีรายได้ค่าเช่าที่มั่นคง”นายชาตรี กล่าว
ส่วนสินทรัพย์ที่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุน คือ ตลาดหุ้นเกาหลี และฮ่องกง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความไม่แน่ไม่นอนด้านสงครามการค้า ในขณะที่ตราสารหนี้แนะนำให้ลดการถือครองเงินสด ซึ่งให้ผลตอบแทนในระดับต่ำและเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนคุณภาพดีเพื่อเพิ่มผลตอบแทน (Investment grade Bond)
กรอบหุ้นไทย 1,588-1,787 จุด
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มองทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2563 ว่า ประเด็นข้อตกลงทางการค้าของสหรัฐและจีน คาดว่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าได้บางส่วน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นในไตรมาสที่ 2 อีกทั้งธนาคารกลางทั่วโลก จะดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ส่วนประเทศไทยการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยและกำไรบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวได้ในครั้งปีหลัง ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย จะฟื้นตัวตั้งแต่ ครึ่งปีแรกเป็นต้นไป
ทั้งนี้ ประมาณการกำไรปี 2563 ไว้ที่ 9.8 แสนล้านบาท ขยายตัว 8.2% โดยมีค่า EPS เฉลี่ยอยู่ที่ 94.8 บาท และปี 2564 คาดกำไรอยู่ที่ 1.08 ล้านล้านบาท ขยายตัว 10.5% และคิดเป็น EPS เฉลี่ยที่ระดับ 103.6 บาท ทั้งสองปีจะเป็นการขยายตัวมาจากฐานที่ต่ำและผลกระทบจากสงครามการค้าที่คลี่คลายลง
ส่วนเป้าหมาย SET INDEX ปี 2563 คาดว่าอยู่ที่ 1,725 จุด โดยอิง Forward P/E ที่ 18.2 เท่า หรือ +0.50 SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ 16.75 เท่า และคาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหว ต่ำสุด-สูงสุด ของ SET INDEX ให้ไว้ที่ 1,588-1,787 จุด
หุ้นเด่นปี 63 – กลุ่มโรงไฟฟ้าผ่านปีทอง
สำหรับหุ้นเด่นในปี 2563 ที่คาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดีในปี 2563 และในไตรมาสที่ 1 ได้แก่
1.) กลุ่มที่ผลการดำเนินงานยังเติบโตดีต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มสัมปทานภาครัฐ สินเชื่อรายย่อย หรือหุ้นที่มีการลงทุนใหม่ ๆ ได้แก่ BCH, CBG, GUNKUL, PRM, SPALI, BGC, MTC, SAWAD, OSP , BDMS, และ JMT
2.) กลุ่มที่ราคาหุ้นหรือผลประกอบการอ่อนตัวลงมามากในปี 2562 อาทิ น้ำมัน , ปิโตรเคมี , ส่งออก , โรงแรม เช่น ERW, BCP, CPF, TKN , IRPC, PTTEP และ HANA
ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า (GULF, BGRIM, GPSC) คาดว่าปีทองได้ผ่านไปตั้งแต่ปี 2562 แล้ว