เอกชัย ชัยตระกูลทอง – ปักธง 5 ปี ผู้นำคอนกรีตสำเร็จรูปภาคตะวันออก

HoonSmart.com>>”เอกชัย ชัยตระกูลทอง” ทายาทรุ่น 1  “เอสทีซี คอนกรีต”  ลั่น 5 ปีหน้า ผู้นำอุตสาหกรรมคอนกรีตภาคตะวันออกภาย  อวดกำไร 9 เดือน/62 โตดีจากอาณาจักรโรงงานใหม่ผลิตท่อระบายน้ำคอนกรีตขนาดใหญ่ เต็มกำลังผลิตรองรับ EEC

ท่อระบายน้ำคอนกรีตสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่

เอกชัย ชัยตระกูลทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสทีซี คอนกรีต โปรดัคท์  ( STC ) เอ็ม ดีหนุ่ม ที่รอลุ้นหุ้น STC  เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ วันที่ 29 พ.ย.นี้ แม้ว่าภาวะตลาดไม่เป็นใจเท่าไรนัก แต่ลึก ๆ ก็แอบหวังและมั่นใจในในปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ  จากผลประกอบการ 9 เดือนแรกปีนี้ 17.94 ล้านบาท กำไรสูงกว่าทั้งปี 2561จำนวน 15.41 ล้านบาท เชื่อผลประกอบการปี 2562 เติบโตก้าวกระโดดและดีต่อเนื่องในระยะยาว

เอกชัย เล่าว่า  ครอบครัวเริ่มทำธุรกิจเทรดดิ้งวัสดุก่อสร้าง ตั้งแต่ปี 2521  ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่รุ่นบิดา ต่อมาในปี 2531 ก่อตั้งโรงงานผลิตแผ่นพื้นสำเร็จรูป ขณะนั้นใช้ชื่อ บริษัท เอสทีซี ผลิตภัณฑ์คอนกรีต และในปี 2543 บริษัทเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็นเอสทีซี คอนกรีต โปรดัคท์ (STC)

“เอสทีซีก่อสร้างโรงงานในปี 2531 ช่วงนั้นเราผลิตแผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป ซึ่งได้รับความนิยมมาก เพราะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยประหยัดเวลา โดยเมื่อเทคานเสร็จก็นำแผ่นพื้นสำเร็จรูปไปวางได้เลย จากนั้นจึงค่อยเทคอนกรีตทับข้างบนอีกที นี่คือจุดเริ่มต้นของเรา เวลานั้นโรงงานเล็กแค่ 2 ไร่เศษ แต่ก็เป็นก้าวแรกที่ทำให้ได้ตั้งหลัก

ปัจจุบันบริษัทฯมีโรงงานทั้งหมดรวม 4 แห่ง โรงงานใหม่ล่าสุดพื้นที่ 88 ไร่ ตั้งอยู่ริมถนนมอเตอร์เวย์ ใจกลางพัทยา เมืองชลบุรี มูลค่าการลงทุน 100 ล้านบาท ความโดดเด่นที่สร้างความแตกต่างคือเทคโนโลยีขั้นสูง ที่นำมาใช้กับการผลิตท่อระบายน้ำคอนกรีต เสริมเหล็กรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ 2.4 x 2.4 x 2 เมตร รวมทั้งนำมาใช้กับการผลิตบ่อพักขนาดใหญ่ น้ำหนักถึง 30 ตัน

“โรงงานใหม่ทำให้เราหนีคู่แข่งไปอีกขั้น และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เอสทีซีสามารถสร้างอัตรากำไรที่สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อโรงงานแห่งใหม่เริ่มสะท้อนรายได้ในงบการเงินตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2561 กล่าวได้ว่าโตก่อนเข้าตลาดฯ”

ปัจจุบันเอสทีซีฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างคอนกรีตสำเร็จรูปครบวงจร  มีตั้งแต่ผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป เช่น แผ่นพื้น เสาเข็ม ท่อระบายน้ำ อิฐมวลเบา และคานสำเร็จรูป รวมทั้งคอนกรีตผสมเสร็จ ลูกค้ามีทั้งภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่งานโครงสร้างพื้นฐาน นิคมอุตสากรรม โครงการสาธารณูปโภคทั้งในเมืองพัทยา จ.ชลบุรีเองและในจังหวัดใกล้เคียงภาคตะวันออก

จากวันนั้นถึงวันนี้ เส้นทางมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เอ็มดีหนุ่มวัย 38 ปี เล่าถึงตัวเองว่า เขาเป็นเด็กหลังห้องมาตลอด เรียกว่าเป็นเด็กกิจกรรมคนหนึ่ง ที่คลั่งไคล้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูป เล่นกีฬา เล่นดนตรี สมัยที่ธุรกิจครอบครัวราบรื่นไม่เคยคิดเรียนหนังสือจริงจัง จุดเปลี่ยนคือต้มยำกุ้งปี 2539

“ต้มยำกุ้งกระทบเราอย่างมาก ปัญหาการเงินทำให้พ่อต้องตัดสินใจขายที่ดิน ขายทรัพย์สิน และขายหมดทุกอย่างที่เรามี เก็บไว้ก็แต่โรงงานเอสทีซี”

 

ช่วงนั้นยังเป็นช่วงที่บิดาของเขาขยายงานสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก่อนหน้าที่เศรษฐกิจจะระส่ำได้ลงทุนก่อสร้างโครงการบ้านเดี่ยว (กรีนวิลล์ สุขุมวิท) แต่ไม่ทันจะเปิดขายได้เต็มที่ก็เกิดฟองสบู่แตกเสียก่อน ม้วนเสื่อเพราะหนี้สินพะรุงพะรัง โครงการก่อสร้างก็ยังครึ่ง ๆ กลาง ๆ บ้านเช่าอาคารพาณิชย์และที่ดินแปลงอื่น ๆ ที่มีอยู่ ถึงขั้นต้องเฉือนขายออกไปจนหมด

วิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นต่อหน้า พลิกฟ้าพลิกดินให้จากครอบครัวที่มีทุกอย่างทั้งธุรกิจเงินทองหรือเครดิต ทั้งหมดกลายเป็นสิ่งที่เคยมี กระทั่งวันหนึ่งที่แม่คุยกับพ่อว่าทำยังไงดี เงินเหลือติดบ้านแค่ 3 พันบาท ยังต้องจ่ายค่าจ้างให้คนงานในโรงงานอีก หรือที่ครั้งหนึ่งถูกพูดใส่หน้า เงินค่าเหล็กเส้นแค่หลักหมื่น ขอให้เขียนเช็คมาเลยก็แล้วกัน คำพูดนี้ออกมาจากร้านค้าที่ซื้อขายกันมายาวนาน  เคยให้เครดิตกันเป็นแสนเป็นล้าน พ่อจึงเจ็บปวดมาก

เครดิตที่เหลือศูนย์นี่เองที่ทำให้เอกชัยคิดได้ และทำให้เขาฮึดสู้ เขาพูดกับน้องชายว่า จะไม่อยู่แบบนี้และต้องสู้นะ ขณะนั้นยังเรียนหนังสือไม่จบมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ เมื่อบิดาเรียกลูก ๆ เข้าไปคุย ถามว่าจะเอาไหม จะทำต่อหรือไม่ เพราะถ้าคำตอบคือไม่ พ่อจะถอดใจเลิกทำ คำตอบที่เตรียมไว้ในใจแล้วทำให้ตอบพ่อไปทันทีว่าทำต่อ เอกชัยและน้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย จนจบจึงออกมาช่วยงานธุรกิจอย่างเต็มตัว

เมื่อตั้งหลักได้ก็เดินหน้า วิสัยทัศน์ของพ่อคือจะต้องนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะนั้นได้ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือกันท่านหนึ่งมาช่วยดูเรื่องปรับโครงสร้างบริษัทและการเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียน แม้บางช่วงบางจังหวะมีปัญหาหรืออุปสรรค ทำให้ต้องสะดุดหยุดไปบ้าง แต่ก็ผ่านได้เดินมาได้

เอสทีซี คอนกรีต โปรดัคท์ จดทะเบียนตั้งบริษัทใหม่ในปี 2543 ต่อมาในปี 2548-2549 ปักหมุดจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศวิสัยทัศน์แล้วจากนั้นก็เดินหน้า กระทั่งในปี 2556 ได้ทำการปรับโครงสร้างกลุ่ม เพื่อเดินหน้าตามแผนเข้าตลาดเอ็มเอไอ ด้านแนวโน้มธุรกิจสดใส แนวทางการเติบโตของเอสทีซีสอดล้อไปกับการเติบโตของ ECC และการเดินหน้าขยายตัวของโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ในภาคตะวันออก

“มองย้อนไปคือการมีจุดหมายเข้าตลาดฯ นั่นทำให้เราบุกธุรกิจอย่างเต็มความสามารถ ฟื้นธุรกิจจนมีวันนี้ที่รอคอย ดีใจที่สุดคือวันนี้ปีนี้ ส.ค.ที่ผ่านมา ฉลองแซยิดพ่อพร้อม ๆ กับนำบริษัทฯเข้าตลาดฯ ในเดือนพ.ย.”

ถ้าจุดมุ่งหมายในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ผลักดันให้เอสทีซีก้าวเดินมาจนถึงวันนี้ สำหรับวิสัยทัศน์เป้าหมายต่อไป เอกชัยบอกว่า คือการตั้งเป้าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมคอนกรีตภาคตะวันออกภายในระยะเวลา 5 ปี หรือภายในปี 2568 โดยเงินระดมทุนนำไปใช้คืนหนี้ก่อสร้างโรงงาน และเสริมศักยภาพความแข็งแกร่ง รองรับ EEC ที่มีแนวโน้มการเติบโตในอัตราสูงจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ

สำหรับหุ้น STC เสนอขาย IPO หุ้นละ 1 บาท จำนวน 148 ล้านหุ้น มีกำไรสุทธิต่อหุ้น( P/E ratio) 20.41 เท่า โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี(ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำขายหุ้น