PLANB พับแผนขายหุ้นเพิ่มทุน ลั่นเงินสดล้น

“ปรินทร์ ” ซีอีโอ “แพลนบี” ระบุ เตรียมเสนอบอร์ดบริษัทฯ ยกเลิกขายหุ้นเพิ่มทุน 1,058 ล้านหุ้น ในอีก 1-2 สัปดาห์นี้ ลั่นมีเงินสดมากพอ ส่วนเงินที่ใช้ซื้อ BNK 48 กว่า 182 ล้านบาท มาจากกระแสเงินสดทั้ง 100% เตรียมเข้าลงทุนคอนเทนท์การ์ตูนอีกในปีนี้

นายปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนบี มีเดีย (PLANB) เปิดเผยว่า เงินที่ใช้ในการเข้าซื้อหุ้นบริษัท บีเอ็นเค 48 ออฟฟิศ (บีเอ็นเค) ผู้บริหารวง BNK 48 ในสัดส่วน 35% เป็นเงิน 182 ล้านบาทนั้น มาจากกระแสเงินสดของบริษัททั้งหมด โดยปัจจุบันบริษัทมีเงินสดเหลือในมือเป็นจำนวนมาก จึงไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนแต่อย่างใด และในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า จะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯให้ยกเลิกมติขายหุ้นเพิ่มทุน 1,058 ล้านหุ้น

“เรามีเงินสดมากพอ ไม่มีความจำเป็นต้องมีการเพิ่มทุนอีก และเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนก็นิดเดียว ดังนั้นในอีก 1-2 สัปดาห์จากนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อยกเลิกมติออกหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว”นายปรินทร์กล่าว

เมื่อวันที่ 14 ก.พ.2561 คณะกรรมการบริษัทฯมีมติขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1,058 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.10 บาท ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงทันที ขณะที่ประเด็นการเพิ่มทุนดังกล่าว นักวิเคราะห์มองว่าจะส่งผลให้เกิด Dilution ของราคาหุ้น และในช่วงสายวันนี้ (24พ.ค.) นายปรินทร์ และทีมบริหาร PLANB ได้พบปะกับนักวิเคราะห์จากสถาบันต่างๆ พร้อมกับยืนยันว่าบริษัทได้ยกเลิกแผนขายหุ้นเพิ่มทุนแล้ว

ผู้บริหารPLANB-บีเอ็นเคแถลงความร่วมมือในการบริหารวง BNK48

นายปรินทร์ กล่าวว่า การเข้าซื้อหุ้นบริษัทบีเอ็นเคเป็นแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่เฉพาะธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านเท่านั้น โดย PLANB จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจคอนเทนท์มากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้ได้เข้าสู่ธุรกิจกีฬา อี-สปอร์ต และดิจิทัลคอนเทนท์ อย่างไรก็ตาม รายได้หลักๆยังอยู่ที่ธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านที่เติบโตเป็นตัวเลขปีละ 2 หลัก โดยยอดซืัอสื่อโฆษณานอกบ้านอยู่ที่ 1-1.2 หมื่นล้านบาทต่อปี เทียบกับยอดโฆษณาสื่อทั้งระบบ 1 แสนล้านบาท ซึ่ง PLANB มีมาเก็ตแชร์ 30-35% เมื่อเทียบกับเจ้าใหญ่ที่มีมาเก็ตแชร์ 35%

“บีเอ็นเคมีรายได้ 250-300 ล้านบาทต่อปี เมื่อเราเข้าไปถือหุ้น เราจะไปต่อยอดเพื่อทำให้บีเอ็นเคมีรายได้จากสปอนเซอร์โฆษณามากขึ้น เพราะเดิมหากลูกค้ามาใช้สมาชิกวง BNK48 เป็นพรีเซ็นเตอร์ในราคา 10 ล้านบาท แต่ต้องเสียค่าโฆษณาผ่านสื่อต่างๆอีก โดยใช้เงินมากกว่าค่าจ้าง 3-5 เท่าตัว แต่หากบีเอ็นเคมีช่องทางที่จะเข้าถึงผู้ชมมากขึ้น ผ่านสื่อโฆษณานอกบ้านของเราที่มีทั้งป้ายทั่วไปตามสี่แยก และการทำโฆษณาบนสื่อรถไฟฟ้าและรถเมล์ ซึ่งจะทำให้บีเอ็นเคมีรายได้เพิ่มขึ้น และลูกค้าจะยอมจ่ายให้เราในราคาที่แพงขึ้น”นายปรินทร์ระบุ

นายปรินทร์ ย้ำว่า PLANB จะไม่เข้าไปก่าวก่ายการบริหารในบริษัทบีเอ็นเค เพราะผู้บริหารมีประสบการณ์ในด้านนี้อย่างมาก ซึ่งในระยะสั้นทางบีเอ็นเคจะสร้างผลตอบแทนให้กับ PLANBแน่นอน แต่ในระยะยาวยังต้องลุ้นว่าผลตอบรับของวง BNK48 รุ่นที่ 2 รุ่นที่ 3 จะเป็นอย่างไร และในปีนี้ PLANB มีแผนจะเข้าซื้อหุ้นในบริษัทที่ทำคอนเทนท์เพิ่มอีก โดยเป็นบริษัทที่ทำคอนเทนท์เกี่ยวกับการ์ตูน

นายปรินทร์ กล่าวถึงกรณีบริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย (VGI) เจ้าของสื่อโฆษณานอกบ้านรายใหญ่ ที่ปรับแผนธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านรูปแบบใหม่ และร่วมลงทุนในบริษัทเคอรี่ เอ็กเพรส รุกโฆษณาสื่อนอกบ้านผ่านรถขนส่งสินค้าของเคอรี่ และใช้ฐานข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่มาทำโฆษณาให้ตรงกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและในเวลาที่ถูกต้อง ว่า PLANB ไม่ได้คิดว่า VGI เป็นคู่แข่ง แม้ว่า VGI จะอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกับ PLANB โดยขณะนี้เรามุ่งต่อยอดที่ธุรกิจคอนเทนท์เพิ่มขึ้น เพราะรายได้ค่าโฆษณาสื่อนอกจะเติบโตมากไปกว่านี้คงเป็นเรื่องยาก

“เขาอยู่กับคนขับรถส่งของ แต่ผมอยู่กับน้องๆ (BNK48) น่าจะดีกว่า”นายปรินทร์กล่าว

นายจิรัฐ บวรวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบีเอ็นเคฯ กล่าวว่า การที่ PLANB มาซื้อหุ้นเพิ่มทุนและถือหุ้นในบริษัทบีเอ็นเคฯครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีแหล่งเงินที่จะนำไปลงทุนต่อยอดความสำเร็จของวง BNK48 ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียน และจะทำให้บีเอ็นเคฯมีสัดส่วนรายได้จากสปอนเซอร์โฆษณามากขึ้น จากปัจจุบันที่รายได้หลักของบริษัทมาจาก 4 ส่วนเท่าๆกัน คือ รายได้จากออนไลน์ รายได้จากสปอนเซอร์ รายได้ค่าตั๋วเข้าชมคอนเสิร์ตและการแสดง และรายได้จากการขายซีดีและของที่ระลึก

สำหรับปีนี้ บีเอ็นเคฯมีโครงการที่ร่วมผลิตละคร ภาพยนตร์กับทางค่าย GDH จำนวน 3 โปรเจกต์ โดยภาพยนตร์ที่เรื่องแรกที่ร่วมมือกับ GDH จะฉายเดือนต.ค.นี้ และบีเอ็นเคฯยังร่วมผลิตรายการกับทางช่อง WorkPoint ช่อง 23 และผู้ผลิตรายการอื่นๆอีกหลายโปรเจกต์ ซึ่งจะสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้บริษัทฯ