บลจ.อเบอร์ดีนฯ ชูหุ้นไทยเด่นกว่าภูมิภาค แนะสะสม

HoonSmart.com>> บลจ.อเบอร์ดีนฯ มองหุ้นไทยเด่นกว่าภูมิภาค แนะทยอยสะสม  กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ค้าปลีก สื่อสารและเช่าซื้อ น่าสนใจ ด้านพอร์ตลงทุนขายทำกำไรบางตัว รอจังหวะเก็บ  ส่วนดอกเบี้ยไทย คาดกนง.ลด 0.25% ปลายปีนี้ แนะลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 

นายออเสน การบริสุทธิ์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน-ตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ประเทศไทย เปิดเผยว่า กลุ่มอเบอร์ดีนฯ ยังคงมองบวกตลาดหุ้นไทยและเพิ่มน้ำหนักการลงทุน จากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจและค่าเงินมีเสถียรภาพเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค ทำให้ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจกว่าและในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่า ดัชนียังคงแกว่งตัวบวกลบประมาณ 5% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1,650 จุด เนื่องจากมีปัจจัยลบต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังกดดันดัชนี

ออเสน การบริสุทธิ์

“ตั้งแต่ต้นปี SET บวกขึ้นมา 5% เมื่อเทียบภูมิภาคหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงอยู่ในอันดับต้นๆ ซึ่งดัชนีแกว่งค่อนข้างมากจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ทั้งสงครามการค้า อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ค่าเงินบาทแข็งกระทบเศรษฐกิจและกระทบกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แต่โดยรวมกำไรบจ.ไม่ได้แย่ลง ไตรมาส 2/62 กำไรลดจากกฎหมายแรงงานใหม่จึงมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่หากดูจาก Consensus ยังคาดการณ์กำไร บจ.ปีนี้เติบโต 11% และปีหน้าอยู่ที่ 10%”นายออเสน กล่าว

ส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน 15 เท่าและคาดว่าปีหน้าอยู่ที่ 14 เท่า ในขณะที่หุ้นในพอร์ตของบลจ.อเบอร์ดีนที่ลงทุนอยู่ยังมีกำไรเติบโตเลข 2 หลัก จึงมองช่วงนี้เป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้น โดยกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มค้าปลีก กลุ่มสื่อสารและกลุ่มธุรกิจเช่าซื้อ ส่วนกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มการบินและกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์

นายออเสน กล่าวว่า สำหรับพอร์ตกองทุนของบลจ.อเบอร์ดีน ในช่วงที่ผ่านมาขายทำกำไรบางส่วนในหุ้นที่ราคาปรับขึ้นมามาก เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มนันแบงก์ ขณะเดียวกันซื้อเพิ่มในกลุ่มวัสดุก่อสร้างและและรอจังหวะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มหากราคาย่อตัวลงมาอยู่ในระดับเหมาะสม

“หุ้นแบงก์ใหญ่ราคาปรับตัวลงมาในรอบปีรับกำไรไตรมาส 2/62 ลด ประกอบกับภาพเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน การปล่อยกู้ยากและการลดดอกเบี้ยก็กระทบส่วนต่างมาร์จิ้น ซึ่งอเบอร์ดีนชอบแบงก์ขนาดเล็ก ซึ่งมีการกระจายธุรกิจเช่าซื้อซึ่งในพอร์ตมีหุ้นบริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) และหุ้นธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) ส่วนหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าขึ้นมามาก ซึ่งการลงทุนจะดูแต่ P/E ก็ยาก ต้องดูกระแสเงินสดในอนาคตคาดการณ์กำไร 5 ปีข้างหน้า เพราะกลุ่มโรงไฟฟ้าการเติบโตมาจากการเพิ่มกำลังผลิตตามแผนเปิดโรงใหม่หรือซื้อกิจการเพิ่ม ซึ่งเงินบาทแข็งค่าก็เป็นโอกาสซื้อโรงไฟฟ้าต่างประเทศ โดยกองทุนอเบอร์ดีนก็ได้ลงทุนหุ้นโรงไฟฟ้า คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้า (EGCO)”นายออเสน กล่าว

นายพงศ์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าการลงทุนตราสารหนี้ประเทศไทย บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนข้างหน้าคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง จาก 2.25% ลงมาอีก 0.50% หรือครั้งละ 0.25% จากที่ตลาดคาดว่าจะลดดอกเบี้ย 3-4 ครั้ง ซึ่งอเบอร์ดีนฯ มองต่างจากตลาดเนื่องจากคาดว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะลดความ aggressive ลงเพื่อเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งสหรัฐในปีหน้า ภาพเศรษฐกิจจึงไม่น่าจะแย่มากจนเศรษฐกิจถดถอย

 

พงศ์ธาริน ทรัพยานนท์

สำหรับอัตราดอกเบี้ยของไทยคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้งในช่วงปลายปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.50% ลงไปที่ 1.25% เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียง 2.5% ซึ่งโอกาสจะเติบโตได้ถึง 3% เป็นไปได้น้อยมาก รวมทั้งแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อยังน่าจะต่ำกว่าเป้าหมาย รวมทั้งค่าเงินบาทแข็งค่าเป็นเหตุผลหลักที่สนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง แต่หากเฟดปรับลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งหรือไม่ปรับลดลงเชื่อว่ากนง.คงจะยังตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไป

อย่างไรก็ตามมองว่าสาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งไม่ได้จากเงินทุนไหลเข้า เพราะตั้งแต่ต้นปีต่างชาติขายสุทธิตลาดตราสารหนี้ไทย แต่เนื่องจากมีการนำเข้าน้อยกว่าการส่งออก ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวก

นายพงศ์ธาริน กล่าวว่า ปัจจุบันผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นของไทยอยู่ที่ 1.4% ซึ่งใกล้เคียงกับผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว 10 ปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเก็บภาษีกองทุนตราสารหนี้ 15% ซึ่งมีผลตั้งแต่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ทำให้กองทุนมีการลงทุนพันธบัตรระยะยาว เพื่อล็อกผลตอบแทน ประกอบกับซัพพลายในตลาดมีน้อย กระทรวงการคลังไม่ได้ออกพันธบัตรเพราะงบประมาณปี 2563 ยังไม่ออก

“การบริหารพอร์ตลงทุนเราได้ขายทำกำไรพันธบัตรระยะยาวลงมาถือระยะสั้น 1-5 ปี เพราะผลตอบแทนใกล้เคียงกัน อีกทั้งยีลด์บอนด์ไทยยังไม่ได้ตอบรับว่ากนง.จะลดดอกเบี้ยลงอีก”นายพงศ์ธาริน กล่าว

โรเบิร์ต เพนนาโลซา

นายโรเบิร์ต เพนนาโลซา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ประเทศไทย เข้ามารับตำแหน่งได้เพียง 7 สัปดาห์ เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มอเบอร์ดีนรวมกิจการกับสแตนดาร์ด ไลฟ์ ทำให้ในช่วงแรกบริษัทจะเน้นเรื่องของการวางระบบและเติมเต็มผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยในส่วนของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตได้มากกว่าอุตสาหกรรม จากสิ้นเดือนมิ.ย.2562 มี AUM อยู่ที่ 5.43 หมื่นล้านบาท เติบโต 5.3% จากสิ้นปี 2561

“ในช่วง 12 เดือนจากนี้มีแผนออกกองทุนใหม่ 3 กอง ได้แก่ กองทุน Fixed Maturity Product ที่ลงทุนตราสารหนี้แบบกำหนดระยะเวลาการลงทุน , กองทุนหุ้นจีน A Share และกองทุนรวมผสม ซึ่งลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ” นายโรเบิร์ต กล่าว