JSP เผยผูู้ถือหุ้นใหญ่ขายบิ๊กล็อตยันไม่กระทบธุรกิจ

“เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้” เผย “ทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา” ผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่ง ตัดขายหุ้น 400 ล้านหุ้นให้ “ลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล -บุญยง สวาทยานนท์” ยันไม่กระทบโครงสร้างบริหารและแผนธุรกิจ เหตุยังกอดหุ้นใหญ่ 29%

บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า ตามที่นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ได้ขายหุ้นบริษัทฯ ให้แก่นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาลและนายบุญยง สวาทยานนท์ ส่งผลให้โครงสร้างการถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 2 มี.ค.2561 นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ถือหุ้นเหลือจำนวน 738,162,300 หุ้น หรือ 17.57% จากเดิมถือจำนวน 1,218,162,300 หุ้น หรือ 29.00%

สำหรับอันดับสองถือโดยนายบุญยง สวาทยานนท์ จำนวน 575,591,300 หุ้น หรือ 13.70% จากเดิมถือหุ้นอันดับสองจำนวน 475,591,300 หุ้น หรือ 11.32% และอันดับสาม นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล ถือหุ้นจำนวน 380,000,000 หุ้น หรือ 9.04% จากเดิมไม่ได้ถือหุ้น

อย่างไรก็ตามปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ดังกล่าวยังไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการ การบริหาร โครงสร้างการจัดการและอำนาจการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ แต่อย่างใด

ทั้งนี้ เช้าวันที่ 2 มี.ค.2561 มีบิ๊กล็อตหุ้น JSP จำนวน 480 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 0.72 บาทต่อหุ้น มูลค่ารวม 345.60 ล้านบาท

ด้านนายสิทธิพร รัตนาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทตั้งเป้ารายได้ 4,500 ล้านบาท ซึ่งเน้นการทำกำไรเพิ่มขึ้น สำหรับกลยุทธ์ในปีนี้ บริษัทฯ จะมุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายและเร่งโอนโครงการแนวราบ โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ซึ่งมีมาร์จิ้นระดับสูงที่ 25-30 % เพื่อผลักดันมาร์จิ้นให้มีการเติบโตสูงกว่าปีที่ผ่านมา พร้อมตั้งเป้าหมายก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำ 1 ใน 5 ของผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประเภทบ้านแฝด ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท

ขณะเดียวกันบริษัทได้วางงบลงทุนปี 2561 จำนวน 3,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบสำหรับการก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 2,000 ล้านบาท และซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ จำนวน 1,000 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกในมือกว่า 3,800 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ประมาณ 2,800 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการปี 2560 บริษัทมีผลดำเนินงานโดดเด่นและทำสถิติเติบโตสูงสุด โดยมีรายได้รวม 4,521.87 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,327.09 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 35.91% และมีขาดทุนสุทธิ 22 ล้านบาท ซึ่งมีผลมาจากผลขาดทุนจากการด้อยค่าของพื้นที่เช่าและผลขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้า ซึ่งเป็นช่วงแรกของการประกอบการและยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะรับรู้รายได้

ทั้งนี้ ปี 2560 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมียอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์เพื่อการจำหน่าย จำนวน 2,000 ยูนิต โดยมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่4,257.24 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 3,049.17 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,208.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.62 % และมีรายได้จากการให้เช่าและบริการ เท่ากับ110.72ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 41.52 ล้านบาท โดยผลประกอบการมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากการรับรู้รายได้การโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาอย่างต่อเนื่องจากโครงการแนวราบ ได้แก่ โครงการเจ บิช- เจ ทาวน์ – เจ ซิตี้- เจ วิลล่า แพรกษา, เจ บิช- เจ ทาวน์ – เจ ซิตี้ – เจ วิลล่า รังสิต, เจ บิช – เจ ทาวน์ – เจ ซิตี้ – เจ วิลล่า บางปะกง,ไมอามี่, เจ ซิตี้ ติวานนท์-บางกะดี,เจซิตี้ บางบัวทอง, และ เจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์ จึงส่งผลให้บริษัทมีผลการดำเนินงานในส่วนของรายได้รวมปีนี้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้