HoonSmart.com>>บลจ.บางกอกแคปปิตอล ประเดิมออกกองทุนรวม “บีแคป โกลบอล เวลท์” ลงทุนทุกสินทรัพย์ทั่วโลก ชู 5 กองทุน 5 นโยบายลงทุนตั้งแต่เสี่ยงต่ำไปจนถึงเสี่ยงสูง ผู้จัดการกองทุนปรับพอร์ตใกล้ชิดและเก็บค่าธรรมเนียมบริหารจัดการต่ำกว่ากองทุน FIF ทั่วไป เปิดขายครั้งแรก 16-24 พ.ค.นี้
นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บางกอกแคปปิตอล จำกัด หรือบลจ.บีแคป เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวกองทุนเปิดบีแคป โกลบอล เวลท์ (BCAP Global Wealth : BCAP GW) ซึ่งเป็นกองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนที่ครอบคลุมสินทรัพย์ทั่วโลก โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนตามความเสี่ยง 5 ระดับผ่าน 5 กองทุน ซึ่งมีทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญคอยดูแลปรับพอร์ตการลงทุนให้อย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนอย่างเป็นองค์รวม และประสบผลสำเร็จในการลงทุนระยะยาว
บริษัทกำหนดเปิดขายกองทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 16-24 พ.ค.2562 ลงทุนขั้นต่ำเพียง 500 บาท ผ่านสาขาธนาคารกรุงเทพและบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวธุรกิจกองทุนรวมที่ไม่ใช่รูปแบบ ETF กองแรกของ BCAP
ดร.ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บลจ.บีแคป เปิดเผยว่า กองทุน BCAP Global Wealth ซึ่งเป็นซีรีย์ของ 5 กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ทั้งตราสารหนี้ ตราสารทุน และสินทรัพย์ทางเลือก เน้นลงทุนในดัชนีสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุน 1 ใน 5 กองทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ ซึ่งจะมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและสินทรัพย์ทางเลือกแตกต่างกัน ตั้งแต่ 10% -90%
สำหรับกลยุทธ์ในการบริหารกองทุนทาง BCAP จะบริหารจัดการเอง โดยเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนีสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก และปรับพอร์ตการลงทุนตามสภาวะตลาด โดยใช้กลยุทธ์หลักในการปรับพอร์ตเพื่อเพิ่มผลตอบแทนและลดความเสี่ยงใน 3 รูปแบบคือ การปรับเพิ่มหรือลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง, การปรับเพิ่มลดน้ำหนักการลงทุนในภูมิภาคต่างๆ และการปรับเพิ่มลดน้ำหนักการลงทุนในสไตล์การลงทุนต่างๆ
“กองทุนนี้แตกต่างจากกองทุน FIF อื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อนักลงทุนเข้ามาลงทุน กองทุนจะไปซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศอีกทอดหนึ่ง ในขณะที่ BCAP จะเลือกลงทุนในกองทุน ETF อ้างอิงดัชนีตลาดหุ้นที่จะเข้าลงทุน ซึ่งข้อดีคือค่าธรรมเนียมการซื้อกองทุนต่ำกว่า อีกทั้งค่าบริหารจัดการก็ถูกกว่ากองทุน FIFทั่วไป โดย BCAP-GW10 เก็บในอัตรา 0.6% ต่อปี ขณะที่ BCAP-GW90 เก็บในอัตรา 1.2% ต่อปี เป็นต้น อีกทั้งในช่วงเสนอขาย IPO จะยกเว้นค่าธรรมเนียมขาย นอกจากนี้ ETF จะมีสภาพคล่องมากกว่า เวลาที่ต้องการปรับพอร์ตทำได้เร็ว ต่างจากกองทุนทั่วไปที่จะต้องรอทำรายการหลายวันแล้วแต่เงื่อนของของกองทุน”ดร.ธนาวุฒิ กล่าว
อย่างไรก็ตามกองทุนดังกล่าวได้นำเสนอให้แก่ลูกค้าส่วนบุคคมาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว ผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยจากพอร์ตที่จำลองผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี สำหรับกองทุน BCAP-GW10 ซึ่งมีนโยบายลงทุนเสี่ยงต่ำสุดผลตอบแทนอยู่ที่ 3.35% ต่อปี ส่วนกองทุน BCAP-GW90 ที่มีนโยบายลงทุนเสี่ยงสูงสุด ผลตอบแทน 10.88% ต่อปี
“กองทุนดังกล่าวถูกออกแบบขึ้นมาตอบโจทย์นักลงทุนได้ทุกกลุ่ม ทั้งเป็นกองทุนแรก สำหรับนักลงทุนที่เริ่มต้นลงทุน เพราะกองทุนจะมีผู้จัดการกองทุนคอยปรับพอร์ตให้ตามสภาวะโดยนักลงทุนไม่ต้องกังวล หรือจะเป็นกองทุนหลักของนักลงทุนก็ได้ รวมทั้งอาจเป็นกองทุนเดียวสำหรับนักลงทุนที่จะเลือกลงทุนเพื่อสะสมเงินระยะยาว ซึ่งนักลงทุนไม่จำเป็นต้องกระจายเงินลงทุนไปในหลายๆ กองทุนก็ได้ เพราะกองทุนลงทุนในหลายสินทรัพย์ทั่วโลกอยู่แล้ว”ดร.ธนาวุฒิ กล่าว
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นทั่วโลกในครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะยังมีความผันผวนมาก เนื่องจากปัจจุบันอยู่ในช่วงปลายของวัฏจักรเศรษฐกิจ (Late Cycle) ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดมีการปรับตัวเร็วกับข่าวที่กระทบการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่เศรษฐกิจจะยังไม่เข้าสู่สภาวะถดถอย (Recession) จากธนาคารกลางในกลุ่มประเทศหลักที่ยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลาย และสถานการณ์สงครามทางการค้าที่เริ่มคลี่คลาย ทำให้รอบเศรษฐกิจนี้จะยังคงดำเนินต่อไป ดังนั้นกองทุนดังกล่าวจึงเป็นทางเลือกในการกระจายการลงทุนไปทั่วโลก ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยในปีนี้มองโอกาสปรับตัวขึ้นได้ประมาณ 5% โดยยังรอความชัดเจนการเมือง ซึ่งส่งผลให้โครงการขนาดใหญ่ยังไม่ลงทุน