ทริส หั่นเป้าศก.ปีนี้ลงพรวดเหลือ 1.8% ภาษีทุบส่งออกโตแค่ 0.9% จีนเที่ยวน้อย ธุรกิจชะลอ

HoonSmart.com>>ทริสฯปรับลดเป้าเศรษฐกิจไทยในปี68 จากเดิมคาดโต 2.8% เป็น 1.8% เจอภาษีนำเข้าสหรัฐฯ กระทบตรงผ่านดุลการค้าที่ลดลง หลังปรับลดเป้าส่งออกจาก 3.1% เหลือแค่ 0.9% นำเข้าจาก 2.5% เป็น 1.3% จีนฟื้นตัวช้า กระทบนักท่องเที่ยวต่างชาติจากคาด 38.2 ล้านคนเป็น 36 ล้านคน ความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น เอกชนลดการลงทุนและการบริโภค นโยบายการเงินที่ยังไม่แน่นอนของสหรัฐ ทำอัตราแลกเปลี่ยน-ตลาดทุนทั่วโลกผันผวน

บริษัททริสเรทติ้งปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ของไทยในปี 2568 จาก 2.8% เป็น 1.8% เพื่อสะท้อนผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ผลโดยตรงผ่านดุลการค้าที่ปรับลดลง เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทย จึงปรับลดเป้าหมายการส่งออกจาก 3.1%เหลือโตแค่ 0.9% ส่วนการนำเข้าลดจาก 2.5% เป็น 1.3% ทั้งนี้การนำเข้าจะยังขยายตัวได้จากการที่ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ รายอื่นพยายามหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนการส่งออกไปสหรัฐฯ

ส่วนผลกระทบทางอ้อมคือจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง โดยเฉพาะจากประเทศจีน คาดว่าจะลดลงจากประมาณการ 38.2 ล้านคนเป็น 36 ล้านคน จากตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ฟื้นตัวช้าตามเศรษฐกิจจีนที่จะได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

 

สำหรับความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น ก็จะกระทบภาคเอกชน  ทั้งการลงทุนคาดลดลงจากเติบโต 3% เป็น 2.6% และการบริโภคชะลอตัวจาก 3.4% เป็น 3.1%

ทั้งนี้ ทริสปรับคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจใหม่ ภายใต้สมมติฐานในกรณีฐาน (Baseline Assumption) การเจรจากับสหรัฐฯ ในช่วงพักการเก็บภาษีแบบตอบโต้เป็นเวลา 90 วัน น่าจะทำให้อัตราภาษีแบบตอบโต้ที่ประกาศโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับลดลงจากที่ประกาศไว้เดิมที่ 36% ได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่าอัตราภาษีอาจจะต่ำลง แต่ปัจจัยดังกล่าวจะยังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 สำหรับความเสี่ยงเชิงลบ ทริสมีสมมติฐานว่าการกำหนดภาษีตอบโต้ 36% ของสหรัฐฯ ถือเป็นฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด (Worst-case Scenario) ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น

ในอนาคต ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะยังอยู่ในระดับสูง ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ เข้าสู่การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งผลลัพธ์นั้นยากที่จะคาดเดา นอกจากนี้ แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ อาจทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในสหรัฐฯ ล่าช้า ส่งผลให้ภาวะการเงินทั่วโลกอาจตึงตัวกว่าที่คาดไว้ นอกเหนือจากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ก็ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก ต้นทุนพลังงานเพิ่มสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายการเงินที่ยังมีความไม่แน่นอนของประเทศเศรษฐกิจหลักก็อาจนำไปสู่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดทุนทั่วโลก