โบรกฯ นอกแนะนักลงทุนต่างชาติยังไม่ต้องรีบเข้าตลาดหุ้นไทย

โบรกต่างประเทศ แนะนักลงทุนต่างชาติไม่ต้องรีบซื้อหุ้นไทย ยังไม่ชัดเจนพรรคใดครองเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาล “มอร์แกนสแตนเล่ย์” ให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มส่งออก พลังงาน วัสดุ

นักวิเคราะห์มอร์แกนแสตนเล่ย์ ให้คำแนะนำการลงทุนเช้าวันที่ 25 มีนาคม หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้งในไทยที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ว่า จากการผลการนับคะแนนเบื้องต้น นักลงทุนต่างชาติยังไม่ต้องรีบร้อนเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะยังไม่มีพรรคใดที่ได้คะแนนเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร โดยต้องจับตาว่าจะมีพรรคใดเข้าร่วมในอีก 72 ชั่วโมง ขณะที่ยังคงคำแนะนำลงทุน equal-weight และให้น้ำหนักกลุ่มส่งออก ที่รวมถึงกลุ่มพลังงานและวัสดุ มากกว่ากลุ่มที่มีฐานรายได้ในประเทศ ที่ประกอบด้วยกลุ่มธนาคารและบริโภคอุปโภค

จากผลนับคะแนนเบื้องต้น 93% ของคณะกรรมการเลือกตั้งชี้ว่าพรรคเพื่อไทยได้ 129 ที่นั่ง พรรคพลังประชารัฐได้ 98 ที่นั่ง แต่ที่ประหลาดใจคือพรรคภูมิใจได้ที่ได้มากถึง 36 ที่นั่ง

บทวิเคราะห์อ้างรายงานข่าวจากบางกอกโพสต์ ว่า พรรคพลังประชารัฐกำลังเจรจากับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยเพื่อให้ที่ 163 ที่นั่ง ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่และพรรคเสรีรวมไทยรวมกันแล้วจะได้ 157 ที่นั่ง ดังนั้นจะต้องดูพรรคอื่นว่าจะเข้าร่วมอย่างไร

คณะกรรมการเลือกจะประกาศผลการนับคะแนนในบ่ายวันนี้ หลังจากการนับคะแนนเสร็จสิ้นไป 95% แต่ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจะประกาศวันที่ 9 พฤษภาคม ดังนั้นผลกับตลาดหุ้นก็คือ ผลเบื้องต้นไม่มีพรรคใดมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร จึงต้องจับตาสถานการณ์ไปอีก 72 ชั่วโมงเพื่อรอความชัดเจน

ทางด้านโกลด์แมนแซคส์ระบุในบทวิเคราะห์ประจำวันที่ 25 มีนาคม 2562 ว่า ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าพรรคใดจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่โดยธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว พรรคที่ได้คะแนนเสียงสูงสุดจะเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่โดยที่วุฒิสมาชิกจำนวน 250 ที่นั่งสามารถออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีได้ด้วย จึงคาดว่าพรรคพลังประชารัฐจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แม้ไม่ได้ที่นั่งจำนวนมากในสภาผู้แทนราษฎร

บทวิเคราะห์มองผลการเลือกตั้งเป็น 2 มุม กรณีแรก หากผลการเลือกตั้งชัดเจน ถูกกฎหมายและประชาชนยอมรับ ในด้านนัยะต่อเศรษฐกิจ ก็จะทำให้ภาคธุรกิจและผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้น การเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น รวมทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจจะเป็นไปตามที่ประมาณการณ์ไว้ แต่มีความเสี่ยงด้านสูงหากมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ส่วนความเสี่ยงด้านต่ำคือ การที่รัฐบาลผสมไม่มีเสถียรภาพ นอกจากนี้การเกิดนดุลเกินสะพัดจะลดลงการการที่มีการลงทุนเพิ่มขึ้น

สำหรับผลด้านตลาดเงินนั้น ค่าเงินจะแข็งค่าขึ้นในระยะสั้นจากเงินไหลเข้าตลาดหุ้น แต่ในระยะปานกลางจะอ่อนค่าเพราะการเกินดุลเดินบัญชีเดินสะพัดจะลดลง จากการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อการดำเนินโครงสร้างพื้นฐาน อาจจะส่งผลให้รัฐวิสาหกิจต้องออกตราสารหนี้เพื่อระดมเงินจำนวนมหาศาล

กรณีที่สองหากยังสรุปผลการเลือกไม่ได้และมีการกล่าวหากันไป ภาคธุรกิจและผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นลดลง ซึ่งก็จะมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ มีเงินไหลจากตลาดหุ้น รวมทั้งการต่อเนื่องถึงการเติบโตของเศรษฐกิจ เพราะธุกกิจและผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายจนกว่าจะมีความชัดเจน นอกจากนี้มีแนวโน้มเงินลงทุนโดยตรงและเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจะไหลออก ตลอดจนธนาคารแห่งประเทศจะหันมาดำเนินโยบายการเงินแบบผ่อนคลายจนกว่าวสถานการณ์จะมีเสถียรภาพ

นัยะต่อตลาด ระยะสั้นเงินทุนจะไหลออก แต่ในระยะปานกลางอนาคตของรัฐบาล และความต้องการในประเทศที่ชะลอตัวมากจะหนุนเงินบาท

การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอาจจะกระตุ้นให้ ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่หนุน การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาด อาจจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด ประกอบกับแนวโน้มการระดมทุนด้วยการออกตราสารหนี้

กรณีนี้คาดแนวโน้มดอกเบี้ยว่าจะอยู่ที่ระดับต่ำมากอีกนาน แบงก์ชาติจะดำเนินโยบายแบบระใดระวังขึ้นก่อน ขณะที่ภาคธุรกิจชะลอการออกหุ้นกู้

ด้านนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) คาดว่านักลงทุนต่างชาติ ยังไม่เข้ามาลงทุนหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะรอดูการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร รวมถึงนายกรัฐมนตรีว่าจะเป็นใคร และเสถียรภาพของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร ซึ่งเงินทุนต่างชาติที่ไหลกลับในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากปัจจัยต่างประเทศ ที่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้

นายปริญญ์ ประเมินว่าตลาดหุ้นไทย หลังการเลือกตั้งยังมีความผันผวน เพราะยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล และตลาดจะกลับมาทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว และการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้เป็นรัฐบาลผสมถือว่าเป็นสิ่งที่ได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ดังนั้นในแง่ของเสถียรภาพของรัฐบาลก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่น่ากังวล

อย่างไรก็ตาม กรรมการผู้จัดการ บล.ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) ยังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่าดัชนีหุ้นไทยปีนี้จะเหนือกว่าระดับ 1,800 จุด โดยปัจจัยหลักที่ผลักดันตลาดหุ้นยังมาจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งเฟดที่ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย และสงครามการค้าที่มีแนวโน้มดีขึ้น ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศถือเป็นปัจจัยรองที่สนับสนุนตลาด

อ่านประกอบ

หุ้นปิดร่วง 20 จุด ต่างชาติขาย 1.6 พันล้าน