HoonSmart.com>>ทริสเรทติ้งแจงสาเหตุที่ทำให้บล.เคที ซีมิโก้ กำไรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นโยบายความเสี่ยงเข้มขึ้นอีกได้ ค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงน่า่จะลดลงได้ ที่สำคัญการแข่งขันสูงค่าคอมมิชชันลดลงต่อ เชื่อบริษัทเป็นลูกรักของแบงก์กรุงไทย ได้รับความช่วยเหลือหลายด้าน ส่งลูกค้ารายใหญ่ เงินทุน ร่วมมือกันทำธุรกิจมากขึ้น ฐานรายได้น่าจะมั่นคงมากขึ้นใน 2-3 ปี
บริษัททริสเรทติ้ง ลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทหลักทรัพย์(บล.) เคที ซีมิโก้ (KTZ) มาอยู่ที่ระดับ ‘BBB’ จาก ‘BBB+’ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘คงที่’ สะท้อนถึงผลประกอบการที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยยะใน 2 ปีล่าสุด สาเหตุเกิดจากนโยบายบริหารความเสี่ยง ค่าใช้จ่ายการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้น และการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์
ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทน่าจะยังสามารถปรับนโยบายบริหารความเสี่ยงให้เข้มแข็งขึ้นได้ จากความเสี่ยงที่เห็นได้จากในอดีต รวมถึงการต้องตั้งสำรองสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในปี 2560 แจะละการขาดทุนจากการลงทุนในปี 2561
ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงนั้น เชื่อว่าน่าจะค่อย ๆ ลดลง เพราะมีสาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานที่สูงขึ้น แต่ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์และส่วนแบ่งทางตลาดที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงน่าจะยังได้รับแรงกดดันต่อไป
ทริสฯมองว่าผลประกอบการของบริษัทยังอยู่ภายใต้แรงกดดันในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรภายใน ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงในปี 2561 และการดำเนินกลยุทธ์ใหม่ เป็นการเพิ่มความท้าทายให้กับบริษัทในภาวะที่บริษัทกำลังเผชิญสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง
ทั้งนี้ กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจใหม่ รวมถึงการร่วมมือมากขึ้นกับกลุ่มธนาคารกรุงไทย การใช้เทคโนโลยีในการช่วยขยายฐานลูกค้า และการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย แต่ทริสเรตติ้งมองว่าหากบริษัทสามารถดำเนินกลยุทธ์ที่วางไว้ได้อย่างดี น่าจะทำให้มีส่วนแบ่งตลาดและมีผลประกอบการที่ดีขึ้นในระยะยาว
อันดับเครดิตของ บล. เคที ซีมิโก้ สะท้อนถึงมุมมองของทริสว่าเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงไทย และน่าจะยังคงสถานะนี้ต่อไป ที่ผ่านมาบริษัทได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านธุรกิจและการเงินจากธนาคาร
บล.เคที ซีมิโก้ ทำหน้าที่เสมือนเครื่องมือของธนาคารกรุงไทยในการให้บริการเกี่ยวกับธุรกิจหลักทรัพย์แก่ลูกค้าของธนาคาร โดยบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่เปิดใหม่ในปี 2561 เป็นลูกค้าที่ผ่านการแนะนำโดยธนาคารมีสัดส่วน 44% และในขณะนี้ทั้งธนาคารและ บล. ก็กำลังอยู่ในระหว่างการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อให้สามารถทำธุรกรรมข้ามเครือข่ายได้
นอกจากนี้บริษัทยังได้รับวงเงินเงินกู้จากทางธนาคารเพื่อรองรับความต้องการด้านสภาพคล่อง ณ สิ้นปี 2561 สัดส่วนของวงเงินจากธนาคารกรุงไทยคิดเป็น 72% ของวงเงินทั้งหมดของบริษัท ซึ่งรูปแบบธุรกิจใหม่ที่เน้นการร่วมมือกับกลุ่มธนาคารมากขึ้นหากประสบความสำเร็จจะเป็นผลบวกต่อบริษัททั้งในด้านผลประกอบการและความสัมพันธ์กับทางธนาคารมากยิ่งขึ้น
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทน่าจะมีการขยายฐานรายได้ที่มั่นคงมากขึ้นในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งมาจากการบูรณาการการให้บริการร่วมกับกลุ่มธนาคารกรุงไทย และการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มนักลงทุนสถาบันให้มากขึ้น เชื่อว่าลูกค้าของธนาคารที่เป็นกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่สามารถทำธุรกรรมข้ามเครือข่ายได้น่าจะทำให้บริษัทมีปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นซึ่ง น่าจะช่วยให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นและมีความมั่นคงขึ้น อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทมีการกระจายแหล่งรายได้มาตลอดเห็นได้จากสัดส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการที่เพิ่มขึ้นจาก 8% ในปี 2557 เป็น 14% ในปี 2561