บาทแข็งค่าสุดในรอบกว่า 5 ปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จับตา 30.80 บาท

HoonSmart.com >> ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ค่าเงินบาทแตะ 31.07 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าที่สุดในรอบกว่า 5 ปี จับตาหากยังอยู่ในแนวโน้มแข็งค่าต่อ ต้องจับตาระดับสำคัญทางเทคนิคที่ 31.00 และ 30.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2562 ค่าเงินบาทแข็งค่าทะลุแนว 31.10 ไปที่ระดับ 31.07 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งนับเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดในรอบกว่า 5 ปี โดยทิศทางการแข็งค่าของเงินบาท ยังคงสอดคล้องกับการแข็งค่าของเงินหยวนและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค

ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงเทขายเพิ่มเติม ท่ามกลางความคาดหวังมากขึ้นว่า การเจรจาเพื่อลดข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน น่าจะมีสัญญาณที่โน้มเอียงไปในทางที่ดีขึ้น โดยการลดความกังวลของนักลงทุน ทำให้ความต้องการสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น เงินดอลลาร์ฯ และเงินเยน ลดลงตามไปด้วย

“เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้นักลงทุนต่างชาติจะมีสถานะขายสุทธิทั้งในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรไทย รวมกันประมาณ 20.4 พันล้านบาท นับตั้งแต่ต้นปี 2562 (ซึ่งแตกต่างจากภาพของช่วงเดียวกันในปี 2561) แต่เงินบาทก็ยังมีทิศทางแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ และเมื่อเทียบกับระดับปิดสิ้นปี 2561 แล้ว เงินบาทยังแข็งค่าขึ้นค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับสกุลเงินเอเชียอื่นๆ โดยเฉพาะเงินหยวนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย”

ทั้งนี้ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 4.7% เป็นอันดับที่หนึ่งของสกุลเงินในภูมิภาค ขณะที่ เงินหยวนแข็งค่า 2.2% ตามมาเป็นอันดับที่ 3 (รองจากเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียที่แข็งค่าขึ้นประมาณ 3.7%)

“แม้การแข็งค่าของค่าเงินบาทและการส่งออกไทยอาจจะมีความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่สูงนักในบางช่วงเวลา และค่าเงินอาจจะไม่ใช่เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่มีผลต่อภาคการส่งออก แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เงินบาทที่แข็งค่ากว่าสกุลเงินของประเทศที่เป็นทั้งคู่ค้าและคู่แข่งของไทย (โดยเฉพาะ จีน และประเทศอื่นๆ ในอาเซียน) น่าจะเพิ่มแรงกดดัน และมีผลกระทบต่อเนื่องต่อธุรกิจในภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว”

เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาทจะลดทอนแต้มต่อของความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคา และทำให้รายรับของภาคการส่งออกที่แปลงกลับมาเป็นเงินบาทลดลงแล้ว และยังเป็นการแข็งค่าในจังหวะที่ภาคต่างประเทศของไทยต้องรับมือกับปัจจัยท้าทายอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวโน้มการชะลอตัวของปริมาณการค้าและเศรษฐกิจโลก

“ในระยะข้างหน้า ปัจจัยสำคัญในระยะสั้นที่อาจมีผลต่อทิศทางค่าเงินบาท ประกอบด้วย ผลการเจรจาเพื่อลดข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน สัญญาณดอกเบี้ยจากการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) รอบวันที่ 19-20 มี.ค. 2562 และประเด็นความเสี่ยงอื่นๆ เช่น สถานการณ์ BREXIT ของอังกฤษ”

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากความคืบหน้าของผลการเจรจาของสหรัฐฯ-จีนเป็นไปในทางบวก และสหรัฐฯ มีท่าทีที่ยืดหยุ่นมากขึ้นต่อกำหนดเวลาการปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีน หรือเฟดยังคงสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนมี.ค. นี้แล้ว เงินดอลลาร์ฯ ก็อาจจะยังคงเผชิญแรงกดดันให้อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง

เมื่อมองจากอีกด้านหนึ่ง หากตลาดยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องข้อพิพาททางการค้าสหรัฐฯ-จีน เงินบาทก็อาจจะขยับแข็งค่าขึ้น (หรือ อาจเผชิญแรงกดดันน้อยกว่าสกุลเงินเอเชียอื่นๆ) เนื่องจากเงินบาทยังเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัย โดยมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีแนวโน้มเกินดุลต่อเนื่องในปีนี้ (ธปท. และสศช. คาดการณ์ยอดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ 34.5 และ 33.5 พันล้านดอลลาร์ฯ ตามลำดับ) รวมถึงมีทุนสำรองระหว่างประเทศ และสภาพคล่องในระบบการเงินไทย ในระดับสูง

ทั้งนี้ หากเงินบาทยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในระยะข้างหน้า คงต้องจับตาระดับสำคัญทางเทคนิคที่ 31.00 และ 30.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ อย่างใกล้ชิด

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว จำเป็นต้องให้ความสำคัญอย่างมากกับการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (และต้องติดตามตัวแปรที่อาจมีผลต่อความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจไทย และ/หรือปัจจัยที่อาจมีผลทำให้มุมมองต่อค่าเงินดอลลาร์ฯ เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน เช่น การกลับมาส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด) เพราะต้องยอมรับว่า นอกจากความผันผวนของเงินบาทจะเป็นโจทย์ท้าทายสำหรับภาคธุรกิจแล้ว ยังเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับทางการไทย ซึ่งต้องดูแลความผันผวนของค่าเงินด้วยเครื่องมือที่ค่อนข้างจำกัด เพราะมาตรการที่มีผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุน ยังไม่ใช่ทางเลือกสำหรับสภาวะที่ยังไม่พบสัญญาณผิดปกติของกระแสเงินทุนต่างชาติในตลาดการเงินไทย