หุ้นไทยเดือนม.ค.บวก 5% “รับเหมา-ซีเมนต์-พลังงาน-ขนส่ง” ชนะตลาด

ตลาดหุ้นไทยเดือนม.ค. ดัชนีบวก 5% รับท่องเที่ยวฟื้นตัว วันเลือกตั้งชัด ด้านเฟดไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย ท่ามกลางกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ชี้ 4 กลุ่มหุ้น “รับเหมา-ซีเมนต์-พลังงาน-ขนส่ง” ขึ้นแรงเหนือตลาด

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (DBSVTH) ออกบทวิเคราะห์ระบุว่า ในช่วงเดือนม.ค.ปี 2562 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นราว 5% จากต้นปี ปัจจัยหนุนมาจาก 1) การเติบโตของเศรษฐกิจไทยและการฟื้นตัวภาคท่องเที่ยวที่เริ่มเห็นตั้งแต่พ.ย.61, 2) การเลือกตั้งที่เลื่อนออกไปไม่มาก และกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจนแล้ว คือ 24 มี.ค.62, 3) การเก็งกำไรผลประกอบการบจ.และเงินปันผล, 4) สหรัฐไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนและเงินบาทแข็ง จึงมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนไทย, 5) สหรัฐกับจีนหันหน้าเจรจาการค้ากันในเดือนม.ค.62 ส่วนปัจจัยที่กังวลอยู่บ้าง คือ ความไม่แน่นอนเรื่อง Brexit, การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์การเมืองไทยหลังเลือกตั้ง

ราคาหุ้นกลุ่มรับเหมา, ซีเมนต์, พลังงาน, ขนส่ง ปรับขึ้นมากกว่า SET Index ส่วนราคาหุ้นกลุ่มสื่อสารปรับขึ้นใกล้เคียงกับ SET ขณะที่ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นน้อยกว่า SET

สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่ติดตาม ประกอบด้วย 1) ราคาน้ำมัน ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะรีบาวด์หลังกลุ่มโอเปกทยอยลดการผลิตลงตามแผนที่ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน แต่ด้วยอุปทานที่สูงทำให้การปรับขึ้นจะยังจำกัด อย่างไรก็ดี เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบ 1Q62 จะสูงกว่าระดับปิดสิ้นปี 61 ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานจะพลิกเป็นมีกำไรจากสต๊อกได้, 2) จีนอาจจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม, 3) ค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งอ่อนค่าหลังเฟดส่งสัญญาณไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ย, 4) การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ที่อาจจะยังไม่จบแต่ก็มีความหวังว่าจะดีขึ้นกว่าช่วงก่อน และ 5) Brexit มีโอกาสที่อังกฤษจะขอเจรจากับ EU เพื่อเลื่อนกำหนดวันออกจาก EU คือ 29 มี.ค.62 ออกไป

ส่วนปัจจัยในประเทศ ได้แก่ 1) รายงานกำไรปี 61 และประกาศปันผลบจ., 2) การเลือกตั้งชัดเจน หนุนความเชื่อมั่นและทำให้เม็ดเงินในระบบสะพัดขึ้น, 3) เงินบาทแข็งค่า กระตุ้นให้มีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนไทย และเป็นบวกต่อบริษัทนำเข้าสุทธิ & บริษัทที่มีหนี้ต่างประเทศมากแต่มีรายได้รูปบาท, 4) ซื้อดักหุ้นที่จ่ายปันผลสูง ซึ่งกลุ่มเด่นเป็น สื่อสาร, พลังงาน, ที่พักอาศัย และ REITs