หุ้นร่วง 14 จุด นักลงทุนเลือกขายหุ้นรายกลุ่ม รายตัว รอบนี้ถึงคิว IVL ดิ่งหนัก 10% บล.เมย์แบงก์ฯ คาดกำไรไตรมาส 4/2561 ทรุด 77% เหลือ 2,283 ล้านบาท เจอขาดทุนสต็อกเฉียด 2,000 ล้านบาท มาร์จิ้นลดลง ลดราคาเป้าหมายเหลือ 67 บาท ราคาลงเป็นโอกาสสะสม คาดไตรมาส 1 ฟื้น ราคาน้ำมันที่ทรุดลง ยังกดดัน TOP ลงต่อ 4 % ทริสคาดดีต่อบริษัทการบินไทย อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2562-2564
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส(IVL) ตกเป็นเป้าถูกถล่ม วันที่ 14 ม.ค. 2562 ราคาลงถลาปิดต่ำสุดเหลือ 48 บาท หายไปวันเดียว 5.50 บาท มูลค่าการซื้อขายมากที่สุดของวัน 3,859 ล้านบาท คาดได้รับผลกระทบจากบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ตั้งแต่เช้าของวันที่ 14 ม.ค. 2562 แต่นักลงทุนมีความรู้สึกช้า มีแรงขายหนัก ๆในช่วงสาย และต่อเนื่องถึงปิดตลาด
นอกจากนี้หุ้นบริษัทไทยออยล์(TOP) ลดลง 3 บาทหรือ 4.265 ปิดที่ 67.50 บาท เพราะปัจจัยเดียวกันคือขาดทุนจากสต็อกหลังจากราคาน้ำมันดิบปรับลดลงแรงและรวดเร็วในไตรมาส 4/2561 ที่ผ่านมา
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 67 บาท/หุ้น คาดผลประกอบการไตรมาส 4/2561 ที่คาดชะลอตัว อาจกดดันหุ้น IVL ในระยะสั้น เชิงกลยุทธ์จึงอาจพิจารณาทยอยสะสม เพื่อรอการฟื้นตัวของผลประกอบการไตรมาส 1จากปริมาณขายและมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้น ก่อนเข้าสู่ High Season ในช่วงกลางปี ราคาเป้าหมายใหม่ เท่ากับ 67 บาท ลดลงจาก 72 บาท
“คาด IVL มีกำไรสุทธิ 2,283 ล้านบาท ลดลง 77.3% จากไตรมาส 3 และลดลง 77.2% จากไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา จากผลกระทบขาดทุนสต๊อก และกำไรจากการดำเนินงานชะลอตัวจากปริมาณขายและมาร์จิ้นที่ลดลง โดยประเมินขาดทุนสต็อก 1,965 ล้านบาท พลิกจากที่มีกำไรจากสต็อกจำนวน 2,193 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2561” บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุ
ทั้งนี้หากไม่รวมผลจากสต็อกและรายการพิเศษ คาดกำไรจากการดำเนินงานเท่ากับ 3,934 ล้านบาท ลดลง 51.9% จากไตรมาส 3 แต่เพิ่มขึ้น 18.5% จากระยะเดียวกันปีก่อน ผลประกอบการปกติลดลง จากแรงกดดันจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ PTA และ PET ในเอเชียที่ลดลงแรง รวมถึงส่วนต่างราคา PET ในฝั่งตะวันตกลดลงเช่นกัน ประเมิน Core EBITDA/ton เท่ากับ 111 เหรียญต่อตัน ลดลง 26.1% จากไตรมาส 3 นอกจากนั้นปริมาณขายยังลดลง 1.5% เป็น 2.7 ล้านตัน ลดลงจากการชะลอตัวตามปัจจัยฤดูกาล เมื่อรวมผลจากขาดทุนสต็อก คาด EBITDA/ton เท่ากับ 89 เหรียญต่อตัน ลดลง 49.2%
หากรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในประมาณการทำให้กำไรสุทธิปี 2561 เพิ่มขึ้น 4.9% เป็น 26,359 ล้านบาท
บริษัททริสเรทติ้ง คาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทการบินไทย(THAI) จะปรับตัวขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง คาดการณ์ราคาเฉลี่ยของน้ำมันเครื่องบินจะอยู่ที่ 85 ดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับ 90 ดอลลาร์ ในปี 2561 ตามสมติฐาน คาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานจะฟื้นตัวอยู่ที่ 18-19% ในช่วงปี 2562-2564 จากระดับ 14.9% ในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 18% จาก 76 ดอลลาร์ เพิ่มเป็น 90%
ทางด้านตลาดหุ้นโดยรวม ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ทรุดลง 14.47 จุด คิดเป็น 0.91% ปิดที่ระดับ 1,582.57 จุด ตามแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ ทั้งกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี นำโดย บริษัทปตท.(PTT) ลดลง 1.25 บาทหรือ 2.54% ปิดที่ 48 บาท จากราคาน้ำมันดิบลดลง 1 เหรียญต่อบาร์เรล หลังจากปรับตัวขึ้นมากในช่วงต้นปีนี้ PTTGC รูดลง 3.25 บาทหรือ 4.59% ปิดที่ 67.50 บาท