คอลัมนิสต์ : รู้จักตัวเอง (know yourself)

สันติ กีระนันท์

ต้องยอมรับในเบื้องต้นก่อนว่า ไม่มีความเท่าเทียมกันจริงในโลกนี้ เคยมีคนเปรียบเทียบไว้ว่า ถ้ายกมือของเราเองขึ้นมาดู ก็จะเห็นได้ว่า นิ้วทั้งห้านิ้วในมือของเรายังยาวไม่เท่ากัน หรือแม้แต่อวัยวะที่เป็นคู่ในตัวของเรา ก็ไม่ได้เท่ากันหรือเหมือนกันโดยสมบูรณ์ ซึ่งนิ้วมือทั้งห้านิ้วที่ยาวไม่เท่ากันและอาจจะแข็งแรงไม่เท่ากันด้วยนั้น ก็มีความเหมาะสมในการทำหน้าที่ที่แตกต่างกันไป การกำหนดว่าทุกสิ่งอย่างต้องเท่ากันโดยสมบูรณ์จึงอาจจะนับได้ว่าเป็นการขัดธรรมชาติ

ความกังวลใจในเรื่องความเสี่ยง และความต้องการผลตอบแทนจากการลงทุน แม้จะเป็นความจริงที่อยู่ในใจของคนทุกคน (ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหรือไม่ก็ตาม) ก็อาจจะกล่าวได้ว่า ระดับความกังวลใจต่อความเสี่ยง (degree of risk aversion) และระดับผลตอบแทนที่ต้องการเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่ต้องรับเพิ่มขึ้น สำหรับนักลงทุนแต่ละคน ก็อาจจะไม่เท่ากัน หมายความว่า ในการลงทุนแบบเดียวกัน นักลงทุนสองคนย่อมมีความกังวลใจต่อความเสี่ยง ไม่เท่ากัน และอาจจะต้องการผลตอบแทนเพื่อชดเชยความเสี่ยง (ที่เท่ากัน เพราะเป็นการลงทุนแบบเดียวกัน) ก็ไม่เท่ากัน ซึ่งความไม่เท่ากันของความกังวลใจต่อความเสี่ยง และผลตอบแทนเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่มีความแตกต่างกันของนักลงทุนแต่ละคนนี้เอง ที่ทำให้การตัดสินใจต่อการลงทุน มุมมองต่อการลงทุน มีความแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล

ผมนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะยังจำได้ว่าในอดีตที่มีการบรรยายเรื่องการลงทุนนั้น เมื่อจบการบรรยายแต่ละครั้ง จะมีคำถามอยู่เสมอว่า ควรจะซื้อหุ้นอะไรดี หรือหุ้นนั้นหุ้นนี้น่าลงทุนหรือไม่ ซึ่งคำถามอย่างนี้ เป็นคำถามที่ผมจะพยายามหลีกเลี่ยงที่จะตอบ หรือถ้าจะตอบ ก็มักจะให้เพียงข้อมูลของบริษัทที่เป็นผู้ออกหลักทรัพย์ว่ามีสถานะเป็นอย่างไรเท่านั้น ไม่พยายามให้ความเห็นว่าน่าลงทุนหรือไม่น่าลงทุนอย่างไร ซึ่งแน่นอนครับว่า คำตอบอย่างนี้ย่อมไม่เป็นที่สบอารมณ์ของผู้ฟังสักเท่าไร เพราะผู้ถามคงต้องการหุ้น “สำเร็จรูป” กล่าวคือ บอกมาเลยว่าควรจะซื้ออะไร ควรจะขายอะไร

และด้วยเหตุผลของความไม่เท่าเทียมกันในวิธีคิดวิเคราะห์ของแต่ละคน จึงเป็นที่มาของการที่ต้องแนะนำผู้ที่สนใจการลงทุนทุกคนว่า ต้องทำความรู้จักตัวเอง (know yourself) เสียก่อนที่จะไปรู้จักทางเลือกในการลงทุนใด ๆ และการทำความรู้จักตัวเองนั้น สำหรับผู้ที่มีจิตแข็ง ไม่หลอกตัวเอง ก็น่าจะพอรู้ว่าตนเองนั้น มีความกังวลใจมากเพียงใดต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เหตุการณ์ที่ผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้ (ซึ่งรวมเรียกว่า “ความเสี่ยง”) ไม่ว่า จะเป็นการผิดไปจากการคาดการณ์แบบดีกว่าที่คาดหรือแย่กว่าที่คาดก็ตาม เพราะหากมีความกังวลใจต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันมาก จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

แน่นอนครับว่า การเข้าสู่อะไรก็ตามที่มีความเสี่ยงสูง คงจะไม่เป็นผลดีต่อคนผู้นั้น เพราะคงจะตัดสินใจแบบ “หุนหันพลันแล่น” ได้โดยไม่ยาก แล้วในที่สุดก็จะนำมาซึ่งความเสียหาย แต่ถ้ามองเห็นตัวเองแล้วว่า เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเหล่านั้น สามารถเกิดได้อยู่เสมอ และตนเองอยู่กับมันได้ การตัดสินใจตอบสนองต่อเหตุการณ์เหล่านั้น คงใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ได้ดี ก็จะทำให้สามารถทนต่อความเสี่ยงได้ดีกว่า เป็นต้น

ผมใช้คำว่า “จิตแข็ง” เพราะการวิเคราะห์ให้รู้จักตนเองนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก คนทั่วไป (รวมทั้งตัวผมเอง) ก็จะมีแนวโน้มที่เข้าข้างตัวเองอยู่แล้ว จึงทำให้การทำความรู้จักตนเองนั้น ไม่ค่อยจะเที่ยงตรงสักเท่าไร ในวงการการลงทุน ถึงได้มีการพัฒนา “แบบสอบถาม” ที่ประกอบด้วยคำถามเพื่อสอบทานพฤติกรรมของแต่ละบุคคลแล้วประมวลให้พอทราบได้ว่า แต่ละคนนั้นมีระดับการยอมรับหรือทนทานต่อความเสี่ยงได้เพียงใด อย่างไรก็ดี แบบสอบถามที่ปรากฏกันทั่วไปในบ้านเรานั้น ผมมีความเห็นว่าค่อนข้างหยาบมากเกินไป และเกือบทุก house ก็ใช้แบบสอบถามที่เหมือนกันหมด แต่จะเห็นได้ว่า บาง house ที่มีพัฒนาการมาจากต่างประเทศ จะมีการพัฒนาแบบสอบถามของตนเองที่ค่อนข้างมีความละเอียดมากขึ้น ซึ่งน่าจะให้ความแม่นยำในการทำความรู้จักตนเองได้ดีขึ้นด้วย

อย่างไรก็ดี การทำแบบสอบถามที่ว่านั้น น่าจะเป็นเพียงเบื้องต้นของการทำความรู้จักตัวเองเท่านั้น และยิ่งแบบสอบถามนั้นมีความ “หยาบ” มากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า ผู้ที่ทำแบบสอบถามนั้น จะมีมุมมองต่อความเสี่ยงเป็นอย่างไร ซึ่งน่าตกใจว่า กระบวนการที่นักลงทุนจะต้องรู้จักตัวเอง และผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ต้องรู้จักลูกค้าของตนเอง (know your client) เป็นกระบวนการที่มักจะทำกันแบบ “ขอไปที” เพียงเพราะมีเกณฑ์ที่กำหนดให้ต้องทำกระบวนการเช่นนั้น ยิ่งทำให้การทำความรู้จักตัวเอง หรือการทำความรู้จักลูกค้าของตัวเอง ไม่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนของผู้ลงทุนเท่าไรนัก ผุ้ลงทุนเองจึงควรจะต้องทำความรู้จักตัวเองให้ชัดเจน

ปัจจัยที่มีผลต่อความทนได้ต่อความเสี่ยงจากการลงทุนนั้น มีหลายปัจจัย เช่น เชื่อกันว่า คนยิ่งมีอายุมากขึ้น ยิ่งทนต่อความเสี่ยงได้น้อยลง จึงมักจะมีคำแนะนำการลงทุนว่า หากมีอายุเยอะ ๆ มีเวลาการทำงานที่น้อยลง ควรจะต้องลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น เหตุผลของเรื่องนี้ก็คือ เมื่อมีอายุมากขึ้น หรือมีเวลาการทำงานที่น้อยลง หากการลงทุนผิดพลาด ทำให้เกิดความเสียหาย เวลาที่จะแก้ไขความผิดพลาดนั้น เช่น การทำงานเพื่อเก็บสะสมเงินให้เพิ่มขึ้น ย่อมมีความเป็นไปได้น้อยลง จึงควรจะลงทุนในทางเลือกที่มีโอกาสเสียหายไม่มากนัก และนำแนวคิดเช่นนี้มาจัดกลยุทธ์การลงทุนที่เรียกว่า life path ซึ่งหากพิจารณาเหตุผล ก็จะเห็นว่าเป็นเหตุผลที่มีความเป็นจริงอยู่ไม่น้อย

อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่มีผลต่อระดับความระแวดระวังต่อความเสี่ยงนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องอายุ หรือเวลาการทำงานที่เหลือเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยปลีกย่อยอื่นอีกหลากหลาย เช่น คนที่อายุมาก มีเวลาทำงานเหลือน้อยแล้ว แต่หากเป็นคนที่มีความมั่งคั่งค่อนข้างมาก เป็นคนที่ไม่มีภาระที่จะต้องรับผิดชอบมาก (เช่น คนโสด ไม่มีครอบครัวที่ต้องดูแล) ปัจจัยเหล่านี้ อาจจะมีผลให้คนประเภทนี้ไม่จำเป็นจะต้องมีมุมมองต่อการลงทุนที่ค่อนข้างระแวดระวังมาก (conservative) เพราะหากมีการจัดสรรความมั่งคั่งเพียงส่วนไม่มากนัก (แต่มีจำนวนไม่น้อย) ที่เทียบกับความมั่งคั่งทั้งหมด การลงทุนที่เกิดจากการจัดสรรความมั่งคั่งนั้น อาจจะเลือกลงทุนในทางเลือกที่มีความเสี่ยงสูงมากก็ได้

จะเห็นได้ว่า เกณฑ์การตัดสินใจเกี่ยวกับทางเลือกในการลงทุนนั้น ไม่ได้มีชั้นเดียวเชิงเดียว และอาจจะไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว ด้วยเหตุที่เหตุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับระดับความไม่ชอบความเสี่ยงนั้น มีความหลากหลายและแตกต่างไปแต่ละผู้คน การทำความรู้จักตนเอง การทำความรู้จักลูกค้าของตัวเอง (สำหรับผู้ให้บริการที่เกี่ยวกับการลงทุน หรือการบริหารความมั่งคั่ง) จึงต้องเข้าใจพฤติกรรมของคน ซึ่งแท้จริงแล้ว การเข้าใจพฤติกรรมของคนที่ว่านี้ เป็นเรื่องของ “สามัญสำนึก” แบบสอบถามใด ๆ ที่ให้นักลงทุนทำ หรือตัวเองทำ เพื่อจะได้รู้จักตนเอง หรือรู้จักลูกค้าของตัวเองนั้น เป็นเพียงเครื่องมือหยาบ ๆ เครื่องมือหนึ่งเท่านั้น

หากต้องการประสบความสำเร็จจากการลงทุน อย่าพึงหวังที่จะหาเครื่องมือวิเศษ แต่ต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง ทำความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งก็ไม่ได้ยากเกินกว่าจะสามารถทำความเข้าใจได้ และหากทำความเข้าใจได้แล้ว ความผิดพลาดจากการลงทุนก็คงจะลดลงได้ครับ