‘วินัย’บิ๊ก TFG ถูกปรับครั้งประวัติศาสตร์ 1,122 ลบ. รวมพวก 6 ราย อินไซด์หุ้น,TFG-W1

HoonSmart.com>> ก.ล.ต. ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 6 ราย กรณีซื้อหุ้น TFG และ TFG-W1 ใช้ข้อมูลภายใน หรือสนับสนุนการซื้อหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน เรียกให้ชำระเงินตามมาตรการลงโทษทางแพ่งรวม 1,125.19 ล้านบาท พร้อมสั่งปรับผู้กระทำผิด 7 ราย ใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้น SF ปรับเป็นเงินกว่า 8.62 ล้านบาท

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 6 ราย กรณีซื้อหุ้น “ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป” (TFG) และใบสำคัญแสดงสิทธิ TFG-W1 โดยใช้ข้อมูลภายใน หรือสนับสนุนการกระทำความผิด

ก.ล.ต.ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนพ.ย. 2559 และตรวจสอบเพิ่มเติม พบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า ช่วงเดือนมี.ค.-ส.ค. 2559 ผู้กระทำความผิดทั้ง 6 ราย ได้แก่ (1) นายวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ซึ่งเป็นประธานกรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการ TFG (2) นายนัฐวุฒิ เตียวสมบูรณ์กิจ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น TFG เกินกว่า 5% ของทุนจดทะเบียน (3) นายวุฒิพงศ์ หวังสมบูรณ์ดี (หรือนายวุฒิพงศ์ รัตนานนท์) (4) นางสาวพนิดา ตรงธรรมกิจ (5) นางสาวกัญญารัตน์ ตรงธรรมกิจ และ (6) นางสาววรนาถ หวังสมบูรณ์ดี ได้ซื้อหุ้น TFG และ TFG-W1 โดยอาศัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2559 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยไตรมาสที่ 1/2559 มีกำไรสุทธิ 200.81 ล้านบาท และไตรมาสที่ 2 กำไรสุทธิ 670.73 ล้านบาท ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่มีสาระสำคัญด้านบวกต่อราคาหุ้น TFG ที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อประชาชนทั่วไป หรือสนับสนุนการซื้อหุ้น TFG และ TFG-W1 โดยใช้ข้อมูลภายในดังกล่าวใน 2 ช่วงเวลา แล้วแต่กรณี ดังนี้

ช่วงเกิดเหตุที่ 1 ระหว่างวันที่ 1 มี.ค.– 12 พ.ค. 2559 นายวินัยร่วมกับนายนัฐวุฒิ ซื้อหุ้น TFG โดยใช้ข้อมูลภายในเกี่ยวกับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2559 ของ TFG ในบัญชีซื้อขายของนายวินัยและนายนัฐวุฒิ รวมทั้งนายวินัยได้ซื้อหุ้น TFG โดยใช้ข้อมูลภายในดังกล่าวในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนายวุฒิพงศ์ และนางสาวพนิดา โดยนายวินัยเป็นผู้รับประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากบัญชีซื้อขายดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 241 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) ที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิด หรือมาตรา 241 ประกอบมาตรา 241 วรรคสอง (2) แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ (แล้วแต่กรณี) ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ส่วนนายวุฒิพงศ์ และนางสาวพนิดา ได้ช่วยเหลือหรือสนับสนุนนายวินัยในการซื้อหุ้น TFG โดยใช้ข้อมูลภายในดังกล่าวฝ่าฝืนมาตรา 241 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ประกอบมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ช่วงเกิดเหตุที่ 2 ระหว่างวันที่ 25 พ.ค.-10 ส.ค. 2559 (ช่วงเช้า) นายวินัย ร่วมกับนายนัฐวุฒิ ได้ซื้อหุ้น TFG และ TFG-W1 โดยใช้ข้อมูลภายในเกี่ยวกับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2559 ของ TFG ในบัญชีซื้อขายของนายนัฐวุฒิ และนายวินัยได้ซื้อหุ้น TFG และ TFG-W1 ใช้ข้อมูลภายในดังกล่าวในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลอีก 4 ราย ได้แก่ นายวุฒิพงศ์ นางสาวพนิดา นางสาวกัญญารัตน์ และนางสาววรนาถ การกระทำของนายวินัยและนายนัฐวุฒิเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 241 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิด หรือมาตรา 241 ประกอบมาตรา 241 วรรคสอง (2) แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ (แล้วแต่กรณี) ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ส่วนนายวุฒิพงศ์ นางสาวพนิดา นางสาวกัญญารัตน์ และนางสาววรนาถ ได้ช่วยเหลือหรือสนับสนุนนายวินัยในการซื้อหุ้น TFG และ TFG-W1 โดยใช้ข้อมูลภายในดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 241 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ประกอบมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

การกระทำของผู้กระทำความผิดทั้ง 6 รายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 241 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ซึ่งเป็นเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิด และปัจจุบันพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ซึ่งแก้ไขโดยฉบับที่ 5) ยังคงบัญญัติให้การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 242 และมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ทั้งนี้ บทเฉพาะกาลมาตรา 47 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ซึ่งแก้ไขโดยฉบับที่ 5 กำหนดให้รัฐสามารถนำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 6 รายได้ โดยโทษที่จะกำหนดแก่บุคคลทั้ง 6 ราย ต้องไม่เกินกว่าอัตราโทษที่กฎหมายบัญญัติในขณะกระทำความผิด กล่าวคือ ให้ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้เงินในจำนวนที่เท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ (ถ้ามี)

คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) จึงมีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 6 ราย สำหรับการกระทำความผิดทั้ง 2 ช่วงเวลา ดังนี้

(1) ให้นายวินัย ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้เงินในจำนวนที่เท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ รวมจำนวน 1,122,195,148.15 บาท

(2) ให้นายนัฐวุฒิ ชำระค่าปรับทางแพ่ง จำนวน 1,000,000 บาท

(3) ให้นายวุฒิพงศ์ นางสาวพนิดา ชำระค่าปรับทางแพ่ง รายละ 666,666.66 บาท

(4) ให้นางสาวกัญญารัตน์ และนางสาววรนาถ ชำระค่าปรับทางแพ่ง รายละ 333,333.33 บาท

มาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ได้แก่ การให้ชำระค่าปรับทางแพ่งและชดใช้เงินในจำนวนที่เท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ ดังกล่าวข้างต้น จะมีผลเมื่อผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติ โดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด

ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง

การที่ ค.ม.พ. เห็นควรให้นำมาตรการลงโทษปรับทางแพ่งมาใช้บังคับกับนายวินัย ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการของบริษัทจดทะเบียนเป็นเหตุให้นายวินัยเป็นผู้มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนตามข้อ 3(2) และข้อ 5(2) ของประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 3/2560 เรื่อง การกำหนดลักษณะขาดความน่าไว้วางใจของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท ลงวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560 (ประกาศ ที่ กจ. 3/2560) ทำให้นายวินัยต้องพ้นจากการเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียน โดย ก.ล.ต. อาศัยอำนาจตามข้อ 6(2) ของประกาศ ที่ กจ. 3/2560 กำหนดระยะเวลาขาดความน่าไว้วางใจเนื่องจากการกระทำความผิดจำนวน 2 กระทงข้างต้น เป็นเวลารวม 40 เดือน นับแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2568

“สั่งปรับผู้กระทำผิด 7 ราย ใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้น SF”

นอกจากนี้ ก.ล.ต. เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 7 ราย กรณีซื้อหุ้น บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ (SF) โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน เปิดเผยข้อมูลภายในแก่บุคคลอื่น โดยรู้หรือควรรู้ว่าผู้รับข้อมูลอาจนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ในการซื้อหุ้น หรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการซื้อหุ้น SF โดยใช้ข้อมูลภายใน แล้วแต่กรณี โดยให้ผู้กระทำผิดชำระเงินตามมาตรการลงโทษทางแพ่งรวม 8,623,408 บาท รวมทั้งกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารกับผู้กระทำความผิดทั้ง 7 ราย

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2564 และตรวจสอบเพิ่มเติม พบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 11 มิถุนายน – 5 กรกฎาคม 2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีการเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 เวลา 17.57 น. เกี่ยวกับการที่บริษัท เซ็นทรัล พัฒนา(CPN) จะซื้อหุ้น SF จากบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) และกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SF เกินกว่า 50% ของหุ้นสามัญทั้งหมด และจะทำ Tender offer หุ้น SF ทั้งหมดที่ราคาหุ้นละ 12 บาท เป็นข้อมูลที่ส่งผลกระทบด้านบวกต่อราคาหุ้น SF มีการกระทำความผิดของผู้กระทำความผิด 7 ราย ดังนี้

(1) นางนภัสสร สุนทรมโนกุล พี่สาวของกรรมการของ MAJOR รายหนึ่ง ได้ร่วมกับนางสาวปภาวรินท์ ฉัตรกุล ณ อยุธยา (หลานสาวของนางนภัสสร) ซื้อหุ้น SF ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางสาวปภาวรินท์ รวมทั้งนางนภัสสรได้ซื้อหุ้น SF ในบัญชีซื้อขายของนางสาวศิรดา สุนทรมโนกุล (บุตรสาวของนางนภัสสร) โดยการซื้อดังกล่าวมีจำนวนมากผิดปกติวิสัย จึงเป็นความผิดฐานซื้อหลักทรัพย์ โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน

(2) นางเพ็ญทิพา องค์วาสิฏฐ์ พี่สาวของกรรมการของ MAJOR รายหนึ่ง ได้ร่วมกับนางสาวปภาวรินท์ ฉัตรกุล ณ อยุธยา (บุตรสาวของนางเพ็ญทิพา) ซื้อหุ้น SF ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางสาวปภาวรินท์ จำนวนมากผิดปกติวิสัย จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันซื้อหลักทรัพย์ โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน

(3) นางสาวปภาวรินท์ ฉัตรกุล ณ อยุธยา ได้ร่วมกับนางนภัสสร (ป้าของนางสาวปภาวรินท์) และนางเพ็ญทิพา (มารดาของนางสาวปภาวรินท์) บุคคลตาม (1) และ (2) ตามลำดับ ซื้อหุ้น SF จำนวนมากผิดปกติวิสัย ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางสาวปภาวรินท์ จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันซื้อหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน

(4) นางสาวศิรดา สุนทรมโนกุล ได้ยินยอมให้นางนภัสสร (มารดาของนางสาวศิรดา) บุคคลตาม (1) ซื้อหุ้น SF จำนวนมากผิดปกติวิสัย ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตน จึงเป็นความผิดฐานช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่บุคคลอื่นในการกระทำความผิด

(5) นายเกียรติ สุนทรมโนกุล สามีของนางนภัสสร (ซึ่งเป็นพี่สาวของกรรมการของ MAJOR รายหนึ่ง) ซื้อหุ้น SF จำนวนมากผิดปกติวิสัย จึงเป็นความผิดฐานซื้อหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน

(6) นายนพพร วิฑูรชาติ ประธานกรรมการบริหาร กรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SF เป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน ได้รู้หรือครอบครองข้อมูลภายในจากการเข้าร่วมประชุมเจรจาซื้อขายหุ้น SF และได้เปิดเผยข้อมูลภายในดังกล่าวแก่นางสุพรรณ วิฑูรชาติ (มารดาของนายนพพร) โดยรู้หรือควรรู้ว่านางสุพรรณอาจนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ในการซื้อหุ้น SF และนางสุพรรณซื้อหุ้น SF โดยใช้ข้อมูลภายในดังกล่าว จึงเป็นความผิดฐานเปิดเผยข้อมูลภายในแก่บุคคลอื่น โดยรู้หรือควรรู้ว่าผู้รับข้อมูลอาจนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ในการซื้อหลักทรัพย์

(7) นางสุพรรณ วิฑูรชาติ มารดาของนายนพพร เป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน โดยได้รับการบอกกล่าวข้อมูลภายในจากนายนพพร และซื้อหุ้น SF จำนวนมากผิดปกติวิสัย จึงเป็นความผิดฐานซื้อหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน

การกระทำของผู้กระทำความผิดทั้ง 7 ราย เป็นความผิดฐานซื้อหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน เปิดเผยข้อมูลภายในแก่บุคคลอื่น โดยรู้หรือควรรู้ว่าผู้รับข้อมูลอาจนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ในการซื้อหลักทรัพย์ ร่วมกันซื้อหุ้น SF โดยใช้ข้อมูลภายใน หรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการซื้อหุ้น SF โดยใช้ข้อมูลภายใน ตามมาตรา 242(1) มาตรา 242(2) ประกอบมาตรา 243(1) ประกอบมาตรา 244(3) มาตรา 244(4) มาตรา 244(5) ประกอบมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 หรือมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 และมาตรการลงโทษทางแพ่งตามมาตรา 317/4 และมาตรา 317/5 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 แล้วแต่กรณี

คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 7 รายดังกล่าว โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ได้แก่ ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ ชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ ดังนี้

(1) ให้นางนภัสสร ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,254,050 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 14 เดือน

(2) ให้นางเพ็ญทิพา ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 694,550 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 12 เดือน

(3) ให้นางสาวปภาวรินท์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 717,050 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน

(4) ให้นางสาวศิรดา ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 577,300 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 9 เดือน

(5) ให้นายเกียรติ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 3,450,908 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน

(6) ให้นายนพพร ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 577,300 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 14 เดือน

(7) ให้นางสุพรรณ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,352,250 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน

มาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนดจะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราที่อัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด

ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–