HoonSmart.com>>”เอสซีจี เดคคอร์” (SCGD) เจ้าของ PRIME Group เบอร์ 1 ตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวในเวียดนาม ต้นทุนต่ำ ฮับผลิตเพื่อส่งออกไปทั่วโลก เร่งโตเข้าเป้าหมาย 2 เท่าปี’73 โฟกัสตลาดพรีเมี่ยมเพิ่มมาร์จิ้น เจาะลูกค้าโครงการ บุกสินค้า HVA-สีเขียว ทุ่มงบ M&A เล็งเวียดนามใต้

นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) เจ้าของ PRIME Group ผู้นำตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวอันดับหนึ่งในเวียดนาม บริษัทฯและโรงงานตั้งอยู่ในฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม กล่าวว่า SCGD ได้เข้าซื้อกิจการ PRIME Group ทั้งหมด มาตั้งแต่ปี 2555 หรือกว่า 14 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวอันดับหนึ่งในเวียดนาม มีบริษัทในกลุ่ม 14 บริษัท กำลังการผลิต 80 ล้านตารางเมตรต่อปี ใกล้เคียงประเทศไทย วางยุทธศาสตร์สำคัญผลักดันให้เวียดนามเป็นบ้านหลังที่ 2 ศูนย์กลางการส่งออก (Export Hub) ไปยังกว่า 24 ประเทศทั่วโลก เพื่อก้าวสู่ผู้นำธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและผลิตภัณฑ์ห้องน้ำในอาเซียน ด้วยความได้เปรียบด้านต้นทุนรวมที่ต่ำสามารถแข่งขันกับสินค้าจากประเทศจีนได้
” SCGD ใช้เงินลงทุนใน PRIME เกือบ 2,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) และสีเขียว จุดเด่นของโรงงานของ PRIME ตั้งอยู่ใกล้ท่าเรือสำคัญเหมาะสม สำหรับการทำการค้ากับจีน สหรัฐฯ และยุโรป นอกจากนี้ยังมีความพร้อมตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมผ่านผู้แทนจำหน่าย 138 ราย และร้านค้าปลีกมากกว่า 20,000 แห่งทั่วประเทศ เร่งหาผู้แทนจำหน่ายเพิ่มเติมทั่วประเทศ เน้นลูกค้าโครงการมากขึ้น ปัจจุบันมีรายได้จากเวียดนามสูงถึง 21% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เติบโต 15% กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ยังคงเติบโตต่อเนื่อง”นายนำพลกล่าว

PRIME โฟกัสตลาดพรีเมี่ยมเพื่อมาร์จิ้นที่ดีกว่า มีออเดอร์สั่งทำหรือ make to Order ถึง 40% ใช้เทคโนโลยีใหม่ กำจัดแบคทีเรีย เพิ่มรายได้ และกำไร จากในช่วง 9 เดือนปีนี้ รายได้มีสัดส่วน 17% ตั้งเป้าแตะ 30% หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวจากที่เคยมีสัดส่วน 10-11% และปรับไลน์การผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตั้งแต่การลดของเสีย ประหยัดพลังงาน ไปจนถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มขนาดของกระเบื้องตามที่ลูกค้าต้องการ ขยายกำลังการผลิตกระเบื้องพอร์ซเลนที่ผ่านการเคลือบผิว หรือ Glazed Porcelain (GP) ต้นทุนรวมของกระเบื้อง GP ได้เทียบผู้ผลิตชั้นนำระดับโลก โดยในปี 2568 มีกำลังการผลิต GP 19 ล้านตารางเมตร หรือประมาณ 25% ของกำลังผลิตทั้งหมด และตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นถึง 45 ล้านตารางเมตร ประมาณ 50% ของกำลังการผลิตทั้งหมด
นอกจากนี้ยังเพิ่มผลิตภัณฑ์สีเขียว ในการใช้เชื้อเพลิงชีวมวล 35% ของการใช้พลังงานทั้งหมด ปรับเปลี่ยนจากถ่านหินผ่านระบบ Gasifiet และใช้พลังานแสงอาทิตย์ 4.4% ของการใช้ไฟฟ้ารวม ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยการนำผงผลิตภัณฑ์ เศษกระเบื้อง เถ้าถ่าน และน้ำทิ้งกลับมาผลิตใหม่
บริษัทยังคงเดินหน้ากลยุทธ์การเติบโต วางแผนที่จะขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ในเวียดนาม และพุ่งเป้าเพิ่มโรงงานผลิตใหม่จากการควบรวมกิจการ (M&A) ในเวียดนาม โดยเฉพาะเวียดนามใต้ เพื่อให้เป็นศูนย์กลาง การผลิตและการส่งออก จากก่อนหน้านี้โฟกัสที่ภาคเหนือ ซึ่งปัจจุบันตั้งงบไว้ราว 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต
“เราใช้เวียดนามเป็นศูนย์ส่งออกไปทั่วโลก เจาะกลุ่มลูกค้าโครงการมากขึ้น เอาความสำเร็จของเมืองไทยมาปรับใช้ที่นี่ และยังเตรียมขยายกลุ่มธุรกิจสุขภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ COTTO เข้าสู่ตลาดเวียดนามอย่างเต็มตัว ปัจจุบันผลิตภัณฑ์หลักของ PRIME คือ กระเบื้อง สัดส่วนรายได้ 90% ของรายได้รวม ขณะที่ไทยมีสุขภัณฑ์จึงทำให้มีรายได้มากกว่า แต่แนวโน้มเวียดนามจะโตขึ้นมาก จากเศรษฐกิจขยายตัวสูงถึง 10% ต่อปี กำลังซื้อที่อยู่อาศัยของคนหนุ่มคนสาว รวมถึงภาครัฐมีการปรับเกณฑ์สนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ผ่านมาไม่มีการประเมินราคาที่ดิน ก็มีการประเมินทุกปี เดิมไม่มีการกำหนดวงเงินดาวน์ขั้นต่ำ ตอนนี้กำหนดห้ามเกิน 5%ของราคาบ้าน
PRIMR ยังให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนและการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มุ่งสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ปี 2593 ของ SCGD และที่ผ่านมาได้รับรางวัลมากมาย ได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งใน 100 องค์กรยั่งยืนที่สุดของเวียดนาม ปี 2568 ต่อเนื่อง 3 ปี อยู่ในกลุ่ม Top 5 ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้รับตราสัญลักษณ์ Singapore Green Label ปี 2568 ได้รับรางวัลผู้ประกอบการดีเด่นจากจังหวัด PHU THOได้รับประกาศนียบัตรธุรกิจดีเด่นด้านการดูแลพนักงาน ปี 2567-2568
SCGD ประกาศเป้าหมายที่ท้าทายในการเพิ่มรายได้ให้เติบโตเป็น 2 เท่า ภายในปี 2573 โดยมีเวียดนามเป็นแกนหลักสำคัญ จากกลยุทธ์และโมเดลธุรกิจที่วางไว้ เป้าหมายคงไม่ไกลเกินฝัน แต่ในส่วนของกำไร จะเติบโตตามไปด้วยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลายตัวแปร โดยเฉพาะการค่าของเงินบาทที่แข็งผิดปกติ เชื่อว่าในที่สุดจะปรับตัวลงให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทย
