เมย์แบงก์ฯ มองหุ้น Q1/62 ผันผวนกรอบ 1,550-1,750 จุด

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองแนวโน้มตลาดหุ้นไตรมาส 1/62 แกว่งตัวผันผวนกรอบ 1,550-1,750 จุด เหตุสงครามการค้า ยกเลิก QE กดดันการลงทุน แม้หวังปัจจัยในประเทศ การเลือกตั้งหนุน

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (MBKET) เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในช่วงไตรมาส 1/62 คาดว่าตลาดยังคงแกว่งผันผวนในกรอบแนวต้าน 1750 จุด และแนวรับ 1550 จุด โดยปัจจัยขับเคลื่อนมาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1.นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลงทุนจากภาครัฐฯ 2.ความคาดหวังก่อนการเลือกตั้ง และ 3.โอกาสที่แนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะปรับขึ้นช้ากว่าคาด โดยประเด็นที่ยังคงเป็นปัจจัยกดดันหลัก ยังคงเป็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หากยืดเยื้อต่อเนื่อง อาจส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปีหน้ามี downside มากขึ้นจากคาดการณ์ปัจจุบัน รวมถึงการยกเลิก QE ของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เม็ดเงินสภาพคล่องส่วนหนึ่งหายไป

วิจิตร อารยะพิศิษฐ

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ ยังคงแนะทยอยสะสมหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Domestic Play อิงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และนโยบายภาครัฐฯ เช่น กลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC, HMPRO), กลุ่มโรงไฟฟ้า (EGCO) เก็งแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่, กลุ่มท่องเที่ยว (AOT, ERW) เก็งการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทย, กลุ่มธนาคาร (BBL) รับอานิสงส์ดอกเบี้ยขาขึ้นรอบใหม่ รวมถึงหุ้นที่แนวโน้มกำไรยังเติบโตก้าวกระโดดในปี 62 (SAWAD, JMT, VGI)

นายวิจิตร กล่าวว่า ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ยังคงเป็นสาเหตุหลักที่กดดันทิศทางการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงโลก โดยแม้ว่าประเด็นการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีน วงเงิน 2 แสนล้านเหรียญ จาก 10% ขึ้นสู่ 25% จะเลื่อนการพิจารณาออกไป 90 วัน ซึ่งจะครบกำหนดราว 1 มีค. 2019 แต่ในระยะสั้นยังคงเห็นท่าทีอันแข็งกร้าวของ Donald Trump ดังนั้นเราเชื่อว่าปัญหานี้คงยังไม่สามารถคลี่คลายได้ในระยะสั้น ซึ่งจะเป็นจุดที่กดดันการลงทุนต่อเนื่องในปีนี้

ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กดดันการลงทุนเข้าสู่โหมด Risk off จากประเด็นสงครามการค้าโลก ซึ่งหากยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง คาดจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงถัดไปมากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ โดยล่าสุดหากพิจารณาในเชิงตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ของประเทศสำคัญ เช่น GDP, PMI ทั้งภาคการผลิตและบริการ ล้วนพบการชะลอตัวลงอย่างเห็นชัด โดยในระยะสั้นจุดที่น่าติดตามคือ PMI ภาคการผลิต ของจีน ที่ล่าสุดเดือน พฤศจิกายน ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50 จุด ถือเป็นจุด critical ซึ่งหากต่ำกว่านี้จะบ่งชี้การเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจหดตัว ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อการปรับฐานได้อีกครั้ง

สำหรับความผันผวนของราคาน้ำมันดิบโลก โดยประเมินทุกๆ ราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวลดลง -1 เหรียญ มีโอกาสกดดันกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยรวม ลดลงราว 5,000 ล้านบาท (ไม่คิดรวมผลกระทบจาก Stock loss) หรือคิดเป็นแรงกดดันต่อ 2019 SET EPS ราว -0.5 จุด ต่อราคาน้ำมันดิบที่ลดลง 1 เหรียญ (เราประเมิน 2019 SET EPS ที่ 116 บาทต่อหุ้น อิงสมมติฐานน้ำมันดิบปี 2019 เฉลี่ยที่ 70เหรียญต่อบาร์เรล)

ด้านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐ ซึ่งระยะสั้นเริ่มเห็นนโยบายจากภาครัฐเร่งตัวขึ้น ทั้งการกระตุ้นภาคการบริโภคผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ หรือนโยบายช๊อปช่วยชาติ อีกทั้งงานประมูลโครงสร้างพื้นฐานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 อีกกว่า 9 แสนล้านบาท น่าจะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น รวมถึงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่ ซึ่งคาดจะออกมาช่วงเดือน มค. 2562 ล้วนเป็นปัจจัยที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวขึ้น

สำหรับการเลือกตั้งไทย 2562 สัญญาณการเลือกตั้งชัดเจนมากยิ่งขึ้น คาดเป็นแรงส่งต่อภาพรวมการลงทุนในช่วงแรก แต่อย่างไรก็ดีการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงการดำเนินนโยบายต่างๆ ในช่วงถัดไปจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ดังนั้นอาจต้องระมัดระวังหลังเลือกตั้งอาจเห็นสัญญาณการปรับฐานลงได้