HoonSmart.com>>ออนเซ็น รีทรีต แอนด์ สปา กรุ๊ป เดินหน้าสร้าง Social Wellness Space ใหม่ที่ทองหล่อ รุกเปิดสาขาเพิ่มในกรุงเทพฯและปริมณฑล รับธุรกิจสุขภาพโตแรง
นายสมิทธิ์ เมฆอรุณกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทออนเซ็น รีทรีต แอนด์ สปา กรุ๊ป (ONSENS) กล่าวว่า ธุรกิจ Wellness Economy ทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยคาดว่าจะขยายตัวแตะ 7.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ขณะที่ประเทศไทย ถูกวางตำแหน่งเป็น Wellness Destination และถือเป็นหนึ่งใน Soft Power สำคัญของภูมิภาค พฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ กำลังเปลี่ยนจากการมองสปาเป็นเพียงการพักผ่อน สู่การใช้เป็นเครื่องมือดูแลสุขภาพเชิงรุก ทำให้ตลาดเวลเนสไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้สูงอายุ แต่ครอบคลุมทุกเจเนอเรชัน
สำหรับ ทิศทางธุรกิจไตรมาส 4/68 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ปัจจัยสนับสนุนจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว ประกอบกับความนิยมการใช้บริการด้านสุขภาพ และการผ่อนคลายที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้บริษัทมีโอกาสสร้างสถิติใหม่ด้านจำนวนผู้ใช้บริการรายเดือน ทั้งแบรนด์ Yunomori Onsen & Spa และ KLAI
บริษัทเตรียมเปิด Social Wellness Space สาขาที่ 5 ที่ทองหล่อในไตรมาส 2 ปี 2570 หรืออีกประมาณ 18 เดือนข้างหน้า ตามแผนการขยายสาขาแบรนด์ “คลาย” และ “พัก” รวมอีก 6 แห่งภายในปีเดียวกัน

สำหรับแบรนด์ “พัก” สาขาใหม่จะเปิดอย่างเป็นทางการวันที่ 1 ธ.ค.2568 นี้ ที่แมคโคร นราธิวาส ขณะที่โครงการทองหล่อยังคงดำเนินการก่อสร้างได้ตามแผน โดยจะประกอบด้วยโรงแรม 79 ห้อง และพื้นที่ออนเซ็นแบบ Mix Gender ภายใต้แบรนด์ UNORI ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในไทยที่มีการออกแบบพื้นที่ออนเซ็นให้เป็น Social Space รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการเข้าสังคมมากขึ้น

บริษัทเดินหน้าสร้างความแตกต่างด้วยการผสมผสาน Brand Collaboration และ Experiential Marketing พร้อมสร้าง Community คนรักสุขภาพ ผ่านกิจกรรมร่วมกับ KOL/KOC และพันธมิตรองค์กร เช่น โรงแรมและฟิตเนส เพื่อจัดเวิร์กช็อปและกิจกรรมเชิงสุขภาพทั้งในและนอกสถานที่
นอกจากนี้ยังร่วมมือกับ สบายรันคลับ ที่ใหญ่ที่สุดในไทย จัดกิจกรรมวิ่ง + ออนเซ็น + อาหารเช้า รวมถึงการจับมือกับกลุ่มฟิตเนส เสนอแพ็กเกจ ใช้ออนเซ็นได้ไม่จำกัดครั้ง เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพและการเข้าสังคมเชิงเวลเนสมากขึ้น
สำหรับแบรนด์ Yunomori Onsen & Spa บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสบการณ์สปาและการพักผ่อนแบบครบวงจร โดยกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ การทำโปรโมชันกระตุ้นการใช้บริการช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว (Off-Peak) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี สามารถเพิ่มจำนวนลูกค้าและเพิ่มอัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำ รวมถึงการร่วมแคมเปญกับงานไทยเที่ยวไทย เพื่อขยายการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ทั้งนักท่องเที่ยวและกลุ่มคนรักสุขภาพ คาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการอยู่ที่ 27,000 – 28,000 คนต่อเดือน หรือเติบโต 3 – 5%
นอกจากนี้ Yunomori ยังสื่อสารแบรนด์ผ่านกิจกรรมด้านสุขภาพ เช่น เวิร์กช็อปออกกำลังกาย การทำ Ice Bath และอีเวนต์เพื่อสุขภาพต่าง ๆ รวมถึงการร่วมมือกับศิลปินชื่อดัง Influencers และพันธมิตรธุรกิจ เช่น Dairyhome เพื่อเสริมภาพลักษณ์ด้าน Wellness และขยายการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านช่องทางดิจิทัลและโซเชียลมีเดียอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์ของ Yunomori ในฐานะ แบรนด์ผู้นำที่เชื่อมโยงกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
ด้านแบรนด์ KLAI บริการนวดไทยสไตล์โมเดิร์น เน้นสร้างเอกลักษณ์ผ่านกิจกรรม Healthy Lifestyle และเวิร์กช็อปเฉพาะกลุ่ม อาทิ Workshop ทำยาดม ยาหม่อง และบาล์มสูตรเฉพาะของแบรนด์ รวมถึงการร่วมงานอีเวนต์ Songwat Week ในเดือนพ.ย. 2568 ซึ่งผสานวัฒนธรรมไทยเข้ากับประสบการณ์การผ่อนคลายแบบโมเดิร์น เปิดโอกาสให้กลุ่มลูกค้าใหม่ได้สัมผัสบริการโดยตรง โดยคาดว่ามีผู้ใช้บริการต่อเดือน เพิ่มขึ้น 10 – 15 %
“จากกลยุทธ์ทางการตลาดและการขยายฐานลูกค้าใหม่ทั้งสองแบรนด์ บริษัทเชื่อว่าในช่วงไตรมาส 4/68 จำนวนผู้ใช้บริการรวมของ ONSENS จะเพิ่มขึ้นประมาณ 3 – 5% ต่อเดือน สะท้อนถึงการฟื้นตัวของดีมานด์ และแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มีอัตราการใช้จ่ายต่อหัวสูง ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแรงให้รายได้รวมของบริษัทในระยะถัดไป” นายสมิทธิ์ กล่าว
นายเพชร คงแสงไชย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีการเงินบริษัทออนเซ็น รีทรีต แอนด์ สปา กรุ๊ป (ONSENS) สรุปผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2561 ว่าออกมาเป็นที่น่าพอใจลูกค้าเพิ่มขึ้นทุกสาขา ในทุกแบรนด์ ทำให้รายได้ทุกธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจออนเซ็นเติบโตมากที่สุดตามด้วยธุรกิจอาหารและธุรกิจสปา

ด้านธุรกิจออนเซ็น แอนด์ สปา Gross Profit มาร์จิ้น ปรับตัวขึ้นจาก 39.1% เป็น 42.4%
ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ทำผลงานโดดเด่น Margin เพิ่มจาก 31% เป็นเกือบ 42% ปัจจัยหลัก มาจากการควบคุมต้นทุนที่เข้มงวด รายได้ที่เติบโต และการหมดไปของค่าใช้จ่าย one-time ในไตรมาส 2
กำไรสุทธิไตรมาส 3 เพิ่มเป็น 3.4 ล้านบาทมีอัตราการเติบโต 268.7% จากไตรมาส 2 ปี 2568
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบไตรมาส 3 ปี 2568 กับงวดเดียวกันของปี 2567 ในเรื่องของรายได้และกำไรลดลงผลจากการเปิดสาขาใหม่ ซึ่งเป็นช่วงปกติของการเปิดสาขาใหม่ โดยแนวโน้มไตรมาส 4 ปี 2568 และ ปี 2568 จะมีการปรับตัวที่ดีขึ้นโดยเห็นจากสัญญาณไตรมาส 3 ที่ดีขึ้นจากไตรมาส 2 เป็นการบ่งบอกถึงสัญญาณที่ดีขึ้น
