HoonSmart.com>>หลักทรัพย์บัวหลวง มองตลาดทุนไทยปีหน้ามีแนวโน้มรับอานิสงส์จากเงินทุนไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชีย แต่ยังขาด “สตอรี่” ดึงดูดนักลงทุนเชิงธีมเมื่อเทียบกับไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน ขณะที่ในอาเซียน อินโดนีเซียและเวียดนามยังคงเป็นคู่แข่งที่มีตัวเลขการลงทุนชัดเจนกว่า โจทย์เร่งด่วนของรัฐบาลใหม่คือการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ผลักดันการใช้ AI ให้เกิดประสิทธิภาพจริง ยกระดับการท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติ จัดการคอร์รัปชันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน
จากประเด็นคำถาม “ตลาดหุ้นไทยในปีหน้า จะได้รับอานิสงส์สภาพคล่องจากตลาดโลกที่จะไหลเข้ามาในเอเชีย หรือไม่ อย่างไร และภาพรวมการแข่งขันตลาดทุนไทยในเอเชียปีหน้า”?
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง และ นายพิริยพล คงวาณิช นักกลยุทธ์ปัจจัยพื้นฐาน ฝ่าย Wealth Research หลักทรัพย์บัวหลวง ให้ความเห็นต่อคำถามข้างต้นว่า ไทยมีแนวโน้มได้อานิสงส์สภาพคล่องจากเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคเอเชีย แต่ “เรื่องราวการลงทุน” ยังเป็นรองตลาดที่มีฐานเทคโนโลยีแข็งแรงอย่างไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน จุดเด่นของไทยยังไม่ชัดในธีม AI ระดับโลก จึงยากต่อการดึงเม็ดเงินเชิงธีมระยะยาวเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่มีบริษัทต้นน้ำด้านชิปและแพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนาดใหญ่

ตำแหน่งของไทยในธีม AI และเทคโนโลยี
ไทยอยู่ในตำแหน่ง “โครงสร้างรองรับ” อย่าง Data Center และบริการเกี่ยวเนื่อง มากกว่าการเป็นผู้เล่นต้นน้ำ (ชิป อุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ หรือแพลตฟอร์มระดับโลก)
ยังมีข้อจำกัด เรื่องขาดบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่สร้างการดึงดูดเม็ดเงินเชิงธีม และยังไม่เห็น “สตอรี่” การยกระดับ Productivity ด้วย AI ในระดับมหภาคที่ชัดเจน
ทำให้ กระแสเงินเงินทุนเชิงธีมยังไหลไปยังประเทศที่เป็นต้นน้ำเทค คือ ไต้หวัน-เซมิคอนฯ เกาหลีใต้-อิเล็กทรอนิกส์/แพลตฟอร์ม จีน-เทค/อินเทอร์เน็ต มากกว่าไทย
อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีโอกาส หากยกระดับจาก “การลงทุนเชิงป้องกัน” หรือ Data security ไปสู่ “การลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพจริง” ด้าน AI adoption ในการผลิต/บริการ/ซัพพลายเชน จะเริ่มสร้างสตอรี่ใหม่ที่วัดผลได้
ฉะนั้น ไทยได้อานิสงส์กระแสเงินทุนและสภาพคล่องที่ไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้ แต่ยังไม่ใช่เม็ดเงินนำธีมเชิงเลือกประเทศ (country pick) หากสตอรี่ไม่ชัด การ Re-rating ของตลาดหุ้นไทยต้องพึ่งปัจจัยเชิงโครงสร้างและความคืบหน้าการปฏิรูปมากกว่าการไหลเข้าแบบ “ยกภูมิภาค”
เปรียบเทียบคู่แข่งในอาเซียน อย่างอินโดนีเซียและเวียดนาม
อินโดนีเซีย มีจุดเด่น ที่มีสินทรัพย์ที่เป็นฐานทรัพยากรนิกเกิล แบตเตอรี่ห่วงโซ่ ของรถ EV, ธนาคารใหญ่ที่กำไรเติบโต, โครงสร้างประชากรวัยแรงงานยังแข็งแรง เห็นตัวเลขการลงทุนชัดเจนและมีสตอรี่เชิงนโยบายดึง FDI ที่ต่อเนื่อง
เวียดนาม มีจุดเด่น ที่ซัพพลายเชนการผลิตและการย้ายฐาน (China+1), ภาษีนำเข้า/ส่งออกที่ได้เปรียบจาก FTA หลายฉบับ, โครงสร้างแรงงานต้นทุนแข่งขัน กระตุ้นเม็ดเงินลงทุนจริงในอุตสาหกรรม และสร้างคาดหวังการเติบโตเชิงโครงสร้าง
ไทย อยู่ระหว่างการเริ่มต้นอุตสาหกรรมใหม่ ที่ต้องเร่งสร้าง “สตอรี่เชิงอุตสาหกรรม” และ “ผลลัพธ์วัดได้” เพื่อแข่งขันกับสองประเทศที่ตัวเลขลงทุนเด่นกว่า
สำหรับ โจทย์เชิงโครงสร้างที่ต้องแก้ทันที
หนี้ครัวเรือนสูง ที่กดทับการบริโภคในประเทศ ซึ่งเป็นเสาหลักร่วมกับการส่งออก/ท่องเที่ยว; เมื่อเจอสังคมสูงวัย ภาพการฟื้นตัวเสี่ยงชะงักงันคล้ายจีน/ญี่ปุ่น
สิ่งที่ต้องทำ คือ โครงสร้างการปรับแก้หนี้ เป้าหมายต้องชัด เช่น ลด DSR เฉลี่ย, เพิ่มส่วนแบ่งสินเชื่อคุณภาพ, เร่งกลไกรีไฟแนนซ์/ไกล่เกลี่ยหนี้
ขณะที่การใช้ AI ในภาคธุรกิจ-รัฐของไทย ยังเป็นเชิง “ป้องกัน” มากกว่าการนำมาใช้เพื่อ “เพิ่มผลิตภาพ” เม็ดเงินลงทุนในเทคไปอยู่ที่ Data security มากกว่าเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้ ROI ด้านเทคต่ำ ต้องเร่งสร้างแรงจูงใจให้ลงทุนใน Use case ที่เห็นผลจริง ในซัพพลายเชน, การจัดเส้นทางโลจิสติกส์, การตรวจสอบภาษี/จัดซื้อด้วย AI พร้อมมาตรฐานวัดผล
นโยบายระยะสั้น-ปีหน้า น่าจะเห็นการมุ่งสู่ทรานส์ฟอร์ม มากกว่าการกระตุ้น เพราะเม็ดเงินงบประมาณมีจำกัด เช่น โครงการอุดหนุนลักษณะ “คนละครึ่งพลัส” เหลือเม็ดเงินประมาณ 40,000 ตามที่รัฐเคยบอก จึงไม่สามารถพึ่ง “อัดฉีด” อย่างเดียวได้ ต้องหันไปเน้นประสิทธิภาพ กระบวนการที่เร็ว และผลลัพธ์ที่จับต้องได้
เครื่องมือเชิงโครงสร้างที่ต้อง “ทำให้เร็วและใช้ได้จริง”

– BOI Fast-pass เร่งอนุมัติลงทุนคุณภาพสูง ลดเวลาขอสิทธิประโยชน์
-เร่งเครื่องปิดดีลที่มีผลต่อภาษี/กฎถิ่นกำเนิด เพื่อเพิ่มความสามารถแข่งขันของผู้ส่งออก
– ดึง FDI เชิงอุตสาหกรรม โฟกัสคลัสเตอร์ที่ไทยมีจุดแข็ง (อาหาร-ไบโอ, สุขภาพ-เมดเทค, โลจิสติกส์-ฮับบริการ, ดิจิทัล-Data center+Cloud+Cyber)
– ยกท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติ เพราะเป็น “External driver” ที่ทำได้เร็ว ผลทบกระจายสู่ SMEs และการจ้างงาน โดยมองว่าการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนคือตัวแปรสำคัญ หรือตัวคูณที่สำคัญ ควรเร่งวีซ่า/โครงสร้างบริการ/ความปลอดภัย และโปรโมชันเชิงประสบการณ์
นอกจากนี้ ที่ละเลยไม่ได้และต้องเร่งแก้อย่างจริงจัง คือ ธรรมาภิบาลและความโปร่งใส ที่เป็นเงื่อนไขที่สำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยเฉพาะการ คอร์รัปชัน เป็นความเสี่ยงต้นทุนแฝง เพิ่มความไม่แน่นอน และทำให้ ROI ของการลงทุนภาคเอกชนต่ำ
การจัดการปัญหาคอร์รัปชันและสร้างความโปร่งใสในระบบเศรษฐกิจ จะเป็นตัวคูณ ช่วยเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ไทยมีโอกาสยืนหยัดในเวทีการแข่งขันระดับภูมิภาคได้อย่างมั่นคงมากขึ้น
