ธปท.รุกคลอดกองทุนค้ำหนี้ SME ติดเครื่องแบงก์ปล่อยกู้ อุตฯเป้าหมาย

HoonSmart.com>>”วิทัย” ผู้ว่าการธปท. เร่งสปีดแก้ปัญหาโครงสร้าง เล็งใช้เงินกองทุนฟื้นฟูฯ 2 หมื่นล้านบาท ตั้งกองทุน-สร้างกลไกค้ำประกันสินเชื่อ SMEs เฉลี่ย 20% ให้แบงก์กล้าปล่อยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เป้า 1 แสนล้านบาท แก้สินเชื่อ SMEs หดตัว 13 ไตรมาสติด คาดว่าจะเริ่มปี 69  ส่วนการเร่งแก้หนี้เสียครัวเรือน โอน NPL ให้ AMC บริหาร 1.6 แสนล้านบาท      ดีเดย์ 1 ม.ค.นี้ สบช่องสกัด”ทุนเทา” ใช้กฎหมายเก่าออกเกณฑ์ใหม่ เรียกข้อมูล-กำกับธุรกรรมดอลลาร์และซื้อขายทอง

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวในงาน Governor Connect สัญจร ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า หน้าที่ของธปท.ไม่ได้มีแค่ดูแลเรื่องเสถียรภาพเท่านั้น ภายใต้พันธกิจยังจะพยายามเข้าไปดูแลปัญหาเชิงโครงสร้างหลาย ๆ เรื่องในบริบทที่ ธปท. ​ควรทำควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเดือดร้อนของประชาชน ให้สอดคล้องกับค่านิยม”ยืนตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน” ของ ธปท ซึ่งต้องออก”มาตรการเฉพาะจุด”

“ธปท.ไม่ใช่หวังให้มาตรการใดมาตรการเดียว กดปุ่มทีเดียวแล้วปัญหาเชิงโครงสร้างหายไป”นายวิทัยกล่าว

มาตรการแรก แก้หนี้เสียครัวเรือน ที่เพิ่งเปิดตัวไป คือ ปิดหนี้ไว ไปต่อได้ ด้วยการซื้อหนี้เสียต่ำกว่า 1 แสนบาท/ราย ผ่าน AMC โดยใช้เงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ซึ่งจะตัดยอดบัญชีได้ในช่วงเดือนม.ค.2569  โดย บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) ปรับการดำเนินการให้เป็น Social AMC มากขึ้น จะช่วยเสริมนโยบายการเงินในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจได้ และจะทยอยมีมาตรการที่ออกมาช่วยในแต่ละจุดหรือแต่ละกลุ่ม เพื่อให้เป็นการต่อจิ๊กซอว์ที่จะประกอบเป็นภาพใหญ่ขึ้น

อีกมาตรการที่จะดำเนินการ คือ มาตรการสนับสนุนสินเชื่อใหม่ โดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs ซึ่งที่ผ่านมาสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ หดตัวต่อเนื่องนาน เช่น สินเชื่อธุรกิจโดยรวมขยายตัวติดลบต่อเนื่อง 5 ไตรมาส และสินเชื่อ SMEs ติดลบ 13 ไตรมาสติดต่อกัน  ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจจริงไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาเชิงโครงสร้าง ดังนั้นจะมีการสร้างกลไกค้ำประกันสินเชื่อ SMEs เป้าหมายวงเงิน 1 แสนล้านบาท

สาเหตุที่ทำให้สินเชื่อหดตัว ไม่ได้มีแค่เศรษฐกิจชะลอจน ความต้องการกู้ (demand) ลดลง แต่ยังมี SMEsจำนวนมาก อยากกู้แต่กู้ไม่ได้  เพราะสถาบันการเงินระมัดระวังสูง ต้นทุนความเสี่ยง (credit cost) สูง กลัวกลายเป็นหนี้เสียหรือ NPLs

เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด ธปท. จึงออกแบบกลไก กองทุน/กลไกค้ำประกันสินเชื่อ SME ร่วมกับรัฐบาลและสมาคมธนาคารไทย ใช้เงินจาก FIDF ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เป็นทุนตั้งต้น เพื่อให้สามารถค้ำประกันสินเชื่อ SME ได้รวมประมาณ 1 แสนล้านบาท อยู่ระหว่างการหารือรูปแบบในการสนับสนุน SMEs ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่มีศักยภาพแข่งขัน และสอดคล้องยุทธศาสตร์ประเทศ เช่น อาหารและอาหารแปรรูป,เกษตรและเกษตรแปรรูป,ธุรกิจสุขภาพและเวลเนส,ธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีกธุรกิจสีเขียว เช่น การลงทุนด้าน Green, EV, ดิจิทัล และธุรกรรมเฉพาะที่รัฐต้องการส่งเสริม

ทั้งนี้กลไกค้ำประกันจะออกแบบให้ “ง่าย ไม่ซับซ้อน” ต่างจากระบบค้ำแบบเดิมผ่านบสย. ตัวอย่างแนวคิดที่อยู่ระหว่างหารือ เช่น สินเชื่อที่มีหลักประกัน อาจค้ำประกัน 10% สินเชื่อไม่มีหลักประกัน อาจค้ำประกันได้สูงถึง 30%

“โจทย์เราคือ ลดต้นทุนความเสี่ยงประมาณ 20% ซึ่งเป็นระดับความเสี่ยงของ SMEs จำนวนมาก ทำให้ธนาคารกล้าปล่อยกู้ เพราะรู้ว่ามีโควตาคุ้มครองความเสียหายที่สามารถเคลมได้ การจัดสรรจะใช้หลัก ใครมาก่อนได้ก่อน หรือ  First Come First Serve ควบคู่กับการออกแบบโควตาให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้บางธนาคาร ได้โควตาแต่ไม่ปล่อยสินเชื่อจริง ตั้งเป้าให้กองทุน/กลไกนี้เริ่มทำงานได้ในปี2569 เพื่อให้สินเชื่อ SME ผ่านจุดต่ำสุด และเริ่มฟื้นตัว  ช่วยบรรเทาปัญหาได้ อาจจะเห็นผลใน 6 เดือน”ผู้ว่าธปท.กล่าว

สำหรับมาตรการแรก แก้หนี้ครัวเรือนที่เป็นหนี้เสีย เริ่มแล้วเตรียมโอนหนี้ครัวเรือน NPL จำนวนประมาณ 1.6 ล้านบัญชี วงเงินรวม 1.6 แสนล้านบาท ไปบริหารในบริษัท บริหารสินทรัพย์ สุขุมวิท (SAM) ที่ ธปท. ถือหุ้นทางอ้อม 100% ผ่านกองทุนฟื้นฟูฯ  โดยใช้เงินจากแหล่งเงิน FIDF ที่เหลือจากโครงการเดิม โครงการนี้เริ่มเดินหน้าแล้ว มีกำหนดตัดยอดบัญชี ณ วันที่ 1 ม.ค.2569 จากนั้นจะปรับโครงสร้างภายในองค์กรใหม่ทั้งระบบ

“เราเข้าไปปรับองค์กร SAM  ใส่ซอฟต์แวร์ ระบบการทำงานใหม่ เพื่อให้ดูแลหนี้ 1.6 ล้านบัญชีได้จริง หวังว่าประมาณ 5–8 แสนรายจะหลุดพ้นจากการเป็นหนี้เสีย และกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อีกครั้ง” ผู้บริหาร ธปท.ย้ำว่า มาตรการลักษณะนี้ไม่ใช่ทางออกถาวรของปัญหาเชิงโครงสร้างหนี้ครัวเรือน แต่เป็น “จุดยิงซ่อม (spot)” ที่ต้องทำต่อเนื่องเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และช่วยให้ลูกหนี้กลับมามีศักยภาพในระบบเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ธปท.ยังถูกตั้งคำถามหนักคือ “ทุนเทา–ทุนผิดกฎหมาย” และการไหลเวียนเงินที่เกี่ยวกับธุรกรรมออนไลน์ หลอกลวง และอาชญากรรมทางไซเบอร์ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า ธปท. “เห็นทุกอย่างแต่ไม่ทำอะไร” จึงต้องเพิ่มบทบาทสกัดทุนเทา–ธุรกรรมผิดปกติ ใช้กฎหมายเก่าให้ทำงานจริง

ปัจจุบัน ธปท.ไม่ได้เห็นข้อมูลทั้งหมด ตามกฎหมายข้อมูลธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การโอนเงินเกิน 500,000 บาท ฝากเงินสดเกิน 2 ล้านบาท ธุรกรรมที่น่าสงสัย (STR) ถูกส่งตรงไปยัง สำนักงาน ปปง. ไม่ได้ส่งให้ ธปท. จึงทำให้ ธปท.ไม่มีข้อมูลการเคลื่อนไหวเงินทุกอย่างอย่างที่คนเข้าใจ

อย่างไรก็ตาม ธปท. ยอมรับว่าอยู่เฉยไม่ได้ เพราะปัญหากระทบประชาชนจำนวนมาก จึงเตรียมกลับมาใช้อำนาจตาม พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน ในการออกเกณฑ์ใหม่ โดยกำหนดให้สถาบันการเงิน ต้องรายงานธุรกรรมที่มีผิดปกติ ให้ ธปท.

ตัวอย่างเช่น บัญชีค้าขายปกติรับยอด 8 หมื่น–2 แสนต่อวัน แต่จู่ ๆ มีเงินโอนเข้าล้านบาทแล้วโอนออกทันที หรือมีเงินเข้า–ออกเป็นก้อนใหญ่ถี่ ๆ ซึ่งสะท้อนธุรกรรมผิดธรรมชาติ ธปท. จะกำหนดประเภทธุรกรรมต้องสงสัยอย่างชัดเจน ว่าต้องรายงานและดำเนินการอย่างไรต่อไป

“เราไม่มีข้อมูลจริงในวันนี้ แต่เรามีอำนาจที่จะทำให้ได้ข้อมูล และจะใช้มัน เข้าไปช่วยเสริมการทำงานของหน่วยงานอื่น ไม่ได้ไปทับซ้อน แต่ไปช่วยปกป้องผู้ฝากเงินและประชาชน”

พร้อมกันนี้ ธปท. ยังเตรียมเข้มขึ้นกับ ผู้เล่นในช่องทางเสี่ยง ได้แก่ ผู้ให้บริการ e-wallet – เข้ม KYC และกำหนดเพดานวงเงินกรณีไม่พบตัวตน ร้านรับแลกเงินที่มีมากกว่า 2,000  แห่ง  – ยกระดับมาตรฐาน กรองผู้เล่นให้มีคุณภาพ ผู้เล่นทองคำ – ศึกษาแนวทางขยายอำนาจกำกับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายทองและอัตราแลกเปลี่ยน เพราะปัจจุบัน ธปท. ไม่เห็นธุรกรรมทองส่วนใหญ่ที่เทรดผ่านแพลตฟอร์ม ธปท. จะใช้ พรบ.แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นฐานในการเรียกข้อมูลและกำกับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์และการซื้อขายทอง เพื่อให้เข้าใจภาพรวมและลดช่องโหว่ในระบบ

อ่านข่าวอื่นๆ : https://hoonsmart.com/archives/389904